ผ่าประเด็นร้อน
นาทีนี้รัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่นำโดย นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยังไม่ได้ประกาศท่าทีให้ชัดว่าจะเอาอย่างไรกับการที่ทางการกัมพูชายื่นเรื่องให้ศาลโลกตีความคำตัดสินเมื่อปี 2505 ว่านอกเหนือจากปราสาทพระวิหารแล้วยังครอบคลุมไปถึงพื้นที่โดยรอบอีกหรือไม่
ล่าสุดฝ่ายรัฐบาลไทยบอกแต่เพียงว่า “สู้เต็มที่” รักษาอธิปไตยเต็มที่ แต่ความหมายก็คือเรายังยอมรับขอบเขตอำนาจของศาลโลก ยังเดินหน้าสู้คดีและไปแก้ต่างกันในศาลโลกต่อไป โดยมีการตบตาคนไทยว่าหากไม่ยอมรับศาลโลกก็จะถูกคว่ำบาตรจากนานาชาติ
ทั้งที่ไม่เป็นความจริง ที่ผ่านมาไม่เคยมีกรณีที่ศาลโลกจะเข้ามาก้าวก่ายตัดสินคดีในขอบเขตอธิปไตยของประเทศหนึ่งประเทศใด หากไม่ได้รับการยินยอมพร้อมใจ ซึ่งก็มีน้อยประเทศที่ยอมรับ
ท่าทีของรัฐบาลชุดปัจจุบันเท่าที่แสดงอาการออกมาให้เห็นก็คือพยายามชี้ให้เห็นถึงความล้มเหลวของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ผ่านมาที่ยอมรับและเข้าสู่กระบวนการสู้คดีในศาลโลกตั้งแต่ปี 2554 ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนปัจจุบันคือ สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ย้ำอยู่เสมอว่า “ใช้ทีมทนายความต่างชาติชุดเดิม” มองดูเผินๆเหมือนกับว่ารัฐบาลชุดนี้ไม่ได้แตะต้องเปลี่ยนแปลงใดๆ ให้ทุกอย่างดำเนินการไปตามขั้นตอน
แต่ความหมายก็คือ ถ้าวันหน้าเกิดมีคำตัดสินออกมาว่าเราแพ้ต้องเสียดินแดน ฝ่ายพรรคเพื่อไทยก็จะชี้หน้าด่าว่านี่ไงผลงานของพรรคประชาธิปัตย์ขายชาติ ซึ่งอาจมองได้อย่างนั้นไม่ยาก
เพราะ สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล เคยส่งสัญญาณให้ทราบแล้วว่ามีแต่ “แพ้กับเสมอตัว” ให้ทำใจไว้ล่วงหน้า รวมไปถึงรัฐมนตรีในรัฐบาลปัจจุบันก็มีอาการเดียวกัน เช่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต ก็กล่าวว่าแล้วแต่ศาลโลกจะตัดสิน พูดกันแบบไม่ยินดียินร้าย อาจจะสะใจด้วยซ้ำไปหากไทยต้องเสียดินแดน เพราะจะพูดได้ว่านี่คือฝีมือของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์
นั่นอาจเป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นจริง หากรัฐบาลชุดปัจจุบันยังเดินหน้าอย่างที่เป็นอยู่ นั่นคือเล่นตามเกมของรัฐบาลกัมพูชาของฮุน เซน เข้าไปสู้ในศาลโลก ดังที่เห็นจากการตั้งตัวแทนที่นำโดย พงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการที่นำทีมบินไปกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เพื่อปรึกษากับทีมทนายความต่างชาติที่เคยจ้างเอาไว้แต่เดิม
แต่ถ้ารัฐบาลชุดนี้มีความจริงใจที่จะรักษาอธิปไตยของชาติอย่างที่บรรพบุรุษได้พยายามรักษาเอาไว้ก็ต้องรีบประกาศท่าทีให้ชัดว่าเราไม่ยอมรับอำนาจของศาลโลกตั้งแต่ตอนนี้ โดยเฉพาะหากเป็นการพิจารณาในเรื่องขอบเขตแดน ซึ่งเราต้องสงวนสิทธิ์เอาไว้อย่างเด็ดขาด รวมทั้งต้องแถลงให้ประชาชนทั้งประเทศได้รับรู้ทั่วกันว่าได้ทำอย่างไรไปแล้วบ้าง อย่ามาอ้างเรื่องความลับหรือเสียรูปคดี เพราะสิ่งที่เป็นอยู่มีความหมายไม่ต่างจากการปิดบังซ่อนเร้นไม่ให้ใครรู้
หากรัฐบาลถอนตัวออกมาดังกล่าวก็สามารถพิสูจน์ในขั้นต้นได้ว่าทำหน้าที่รักษาอธิปไตย เนื่องจากนี่คือวิธีการลดความเสี่ยงต่อการเสียดินแดนจากคำตัดสินของศาลโลก ซึ่งหากพิจารณาตามรูปการมีแนวโน้มในทางลบกับฝ่ายไทยค่อนข้างแน่ และที่สำคัญเราไม่จำเป็นต้องเข้าไปเสี่ยง
อย่างไรก็ดี หากผลออกมาในทางตรงกันข้าม รัฐบาลยังเดินหน้าสู้คดีในศาลโลก แม้ว่าจะพยายามอยู่ตลอดเวลาว่า “สู้เต็มที่” แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น เพราะสู้แล้วเสี่ยงแพ้จะสู้แบบนั้นทำไม แต่ที่เรียกร้องก็คือให้ถอนตัวออกมาทันที และถ้ามีทางเลือกที่เหลืออยู่ในนาทีสุดท้าย แต่กลับไม่ทำ มิหนำซ้ำยังตบตางุบงิบอำพรางแบบนี้อยู่ต่อไป ก็ช่วยไม่ได้ที่จะต้องถูกประณามว่ารัฐบาลขายชาติ จงใจใช้แผนอุบาทว์สมยอมยกดินแดนให้กับกัมพูชา เพื่อแลกผลประโยชน์สำหรับคนบางคนที่อยู่ “เหนือ” รัฐบาล
ช่วยไม่ได้ที่ชาวบ้านที่รู้ทันจะมองอย่างนั้นว่าเป็นการสมยอมโดยใช้ศาลโลกเป็นเครื่องมือแบบน่าอัปยศที่สุด แต่ถ้าไม่ใช่อย่างที่กล่าวหามาทั้งหมด รัฐบาลก็ต้องพิสูจน์ออกมาให้เห็นในทันที
และเมื่อถึงเวลานั้นหากไทยต้องเสียดินแดน สูญเสียอธิปไตยทั้งบนบกและในทะเลตามมารัฐบาลทุกรัฐบาลและข้าราชการที่เกี่ยวข้อจะต้องรับผิดชอบอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น อีกไม่นานก็จะได้เห็นกัน!!