“หมวดเจี๊ยบ” โต้ ปชป. ยัน “นายกฯ ปู” ไม่มีอำนาจแก้วันแปรญัตติแก้ไข รธน. แนะให้เสนอวิปฝ่ายค้านดำเนินการเอง พร้อมโดย ปชป.กล่าวหาซ้ำซาก ย้ำรถไฟความเร็วสูงไปถึงหนองคายแน่นอน
ร.ท.หญิง สุณิสา เลิศภควัต รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์เรียกร้องให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีแสดงภาวะผู้นำเข้ามาแก้ปัญหาช่วงเวลาวันแปรญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราให้เป็น 60 วัน ว่าไม่ใช่อำนาจหน้าที่นายกฯ เป็นเรื่องรัฐสภาที่ต้องวินิจฉัยให้เป็นไปตามข้อบังคับการประชุมฯ การแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรารัฐบาลไม่ได้เป็นเจ้าภาพ เป็นการผลักดันของ ส.ส. และ ส.ว.ที่เห็นว่ารัฐธรรมนูญ 50 มีประเด็นที่สมควรได้รับการแก้ไข จึงอยู่ในดุลยพินิจของฝ่ายรัฐสภา ไม่ใช่หน้าที่ของนายกฯ
หากพรรคประชาธิปัตย์ต้องการเรียกร้องให้เปิดประชุมรัฐสภาเพื่อลงมติกำหนดช่วงเวลาแปรญัตติเป็น 60 วันให้ดำเนินการผ่านคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) เพื่อส่งเรื่องให้ประธานรัฐสภาพิจารณา ไม่ใช่มาเรียกร้องที่นายกฯ เพื่อสร้างประเด็นการเมืองตอดเล็กตอดน้อย จะให้เป็นไปตามใจพรรคประชาธิปัตย์ได้อย่างไร เมื่อเป็นความบกพร่องของพรรคประชาธิปัตย์เอง ที่ ส.ส.อยู่ไม่ครบองค์ประชุม โดยเฉพาะ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พรรคประชาธิปัย์ ซึ่งเป็นผู้เสนอแต่กลับไม่ได้อยู่ในห้องประชุม แล้วมาบอกรัฐบาลใช้อำนาจรวบรัดการประชุมรัฐสภา
ร.ท.หญิง สุณิสายังกล่าวถึงกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ระบุรัฐบาลไม่มีความพร้อมทำรถไฟความเร็วสูง ตามร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาทว่า ไม่ทราบว่าทำไมพรรคประชาธิปัตย์ ถึงไม่ได้ยินคำชี้แจงของรัฐบาลเกี่ยวกับโครงการ Thailand 2020 เหตุใดจึงโจมตี วนเวียนอยู่กับประเด็นเก่าๆ ซ้ำซาก ทั้งๆ ที่รัฐบาลยืนยันมาหลายครั้งแล้วว่าจะมีการสร้างรถไฟความเร็วสูงไปถึงหนองคายแน่นอน ไม่ใช่หยุดแค่โคราชเพื่อเชื่อมโยงกับรถไฟความเร็วสูงของประเทศจีน ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลก็ได้ยืนยันไปหลายครั้งแล้ว คนไทยทั้งประเทศก็ได้ยินทั้งนั้น จะมีก็แต่พรรคประชาธิปัตย์เท่านั้นที่ฟังไม่รู้เรื่อง หรือว่าแกล้งไม่ได้ยิน
นอกจากนี้ รัฐบาลยังยืนยันกับผู้แทนจากต่างประเทศไปแล้วหลายครั้ง เช่น ล่าสุด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีได้ยืนยันกับรองนายกรัฐมนตรี สปป.ลาว ว่าไทยจะสร้างรถไฟความเร็วสูงไปถึงหนองคายแน่นอน แล้วอย่างนี้ รัฐบาลจะสร้างรถไฟความเร็วสูงไปสิ้นสุดแค่โคราช อย่างที่พรรคประชาธิปัตย์พยายามยัดเยียดได้อย่างไร
ส่วนเรื่องกู้เงินนั้น รัฐบาลก็ไม่ได้กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทมากองไว้อย่างที่พรรคประชาธิปัตย์กล่าวหา แต่จะเป็นการทยอยกู้ ไม่ใช่กู้ครั้งเดียวทั้งก้อนมากองเอาไว้โดยคาดว่าจะมีการใช้เงินปีละ ประมาณ 3 แสนล้านบาท ซึ่งในอนาคต อาจใช้เงินไม่ถึง 2 ล้านล้านบาท หากมีเอกชนมาร่วมลงทุนด้วย และอาจใช้หนี้ได้ก่อนกำหนด ไม่ถึง 50 ปี ก็ได้ เพราะตัวเลขต่างๆ ที่รัฐบาลนำเสนอ คิดอยู่บนกรอบของการคำนวณแบบอนุรักษ์นิยม หรือมองโลกในแง่ร้ายที่สุด คือคิดเผื่อไว้แล้วเพื่อไม่เป็นการเข้าข้างตัวเองเกินไป แต่ในความเป็นจริงเศรษฐกิจน่าจะเติบโตมากกว่านั้น ทั้งทางตรงและทางอ้อม และอาจมีเอกชนมาร่วมลงทุนด้วย จนทำให้รัฐบาลไม่ต้องกู้เงินถึง 2 ล้านล้านบาท และอาจใช้หนี้ได้เร็วกว่ากำหนด
ส่วนที่วิจารณ์กันมากเรื่องต้องใช้หนี้ก้อนโตนาน 50 ปีนั้น ขอให้อย่ามองแค่ตัวเลขหนี้ที่เกิดขึ้น แต่ควรจะมองถึงผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจที่จะได้รับด้วย เพราะโครงการ Thailand 2020 เป็นการก่อหนี้เพื่อการลงทุน เป็นหนี้ที่ทำให้เกิดรายได้เข้าประเทศและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยการลดต้นทุนด้านการขนส่งสินค้าของไทยให้ต่ำกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค ซึ่งหากรัฐบาลไม่ลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศในวันนี้ ก็จะทำให้ประเทศเสียโอกาสในการแข่งขัน เมื่อไทยต้องเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในอนาคต
รองโฆษกรัฐบาลกล่าวว่า จะเห็นได้ว่าการใช้เงินของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยนั้น เน้นการนำเงินไปลงทุนเพื่อให้เกิดรายได้ ไม่ได้เอาเงินไปใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย ไม่เหมือนกับรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ เช่น โครงการแจกเช็ค 2,000 บาทของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ที่เอาเงินภาษีของประชาชนไปแจกเฉยๆ โดยที่ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมาอย่างเป็นรูปธรรม นอกจากนี้ยังไม่ได้เกิดประโยชน์แก่คนยากคนจนอย่างแท้จริง และยังเป็นการแจกเงินที่แปลกประหลาด เพราะแทนที่จะเอาเงินไปแจกให้คนยากคนจนที่ไม่มีรายได้ แต่กลับเอาไปแจกให้ข้าราชการซึ่งมีรายได้ประจำและแน่นอน ซึ่งเห็นได้ชัดว่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทยกับประชาธิปัตย์ มีวิธีคิดที่แตกต่างกันในการบริหารจัดการเงินภาษีของพี่น้องประชาชน