ผ่าประเด็นร้อน
แน่นอนว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราเพื่อเพิ่มอำนาจให้ฝ่ายรัฐบาล พรรคการเมืองและสมาชิกวุฒิสภาจะต้องผ่านการโหวตไปได้โดยสะดวก เพราะคราวนี้มีการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กันได้อย่างลงตัว เจือจานกันไปทั่ว ไม่เว้นแม้กระทั่งสนองความต้องการของพรรคฝ่ายค้าน ทำให้มองเห็นว่าเป็นการค้านไม่เต็มเสียง
แน่นอนว่าฝ่ายที่ได้ประโยชน์ไปเต็มๆชนิดหยิบไปแต่ชิ้นปลามันก็คือรัฐบาลหุ่นเชิดของ ทักษิณ ชินวัตร ที่กระทำผ่านน้องสาวตัวเองคือ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในฐานะนายกรัฐมนตรี เพราะหากการแก้ไขมาตรา 190 ที่เกี่ยวกับการทำสัญญากับต่างประเทศไม่ว่าจะเป็นการเจรจาเรื่องเขตการค้าเสรี การเจรจาเรื่องธุรกิจพลังงานกับประเทสเพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะเป็นกัมพูชาในพื้นที่อ่าวไทย หรือแม่้แต่กับพม่า ที่เคยเป็นที่สงสัยกันมาตลอดว่ามีเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนกับ ทักษิณ ชินวัตร มาตลอดทั้งในฐานะ "นายหน้าข้ามชาติ" รวมทั้งธุรกิจครอบครัว ต่อไปก็ถูกมองว่าสามารถทำได้โดยสะดวก เพราะไม่ต้องนำเข้าสภาให้ความเห็นชอบหรือให้การรับรองเสียก่อนเหมือนในอดีต
ขณะเดียวกันหากการแก้ไขมาตรา 237 ทำได้สำเร็จก็หมายความว่าต่อไปนี้หากมีกรรมการบริหารพรรคคนใดทำผิด ก็ไม่ต้องถูกยุบพรรค ไม่ต้องถูกตัดสิทธิ์การเมืองเหมือนเมื่อก่อน และในประเด็นนี้หากจะว่ากันแบบตรงไปตรงมาพรรคประชาธิปัตย์ก็มีท่าทีสนับสนุน เพราะตัวเองก็ได้ประโยชน์ด้วย อีกทั้งยังมีการแก้ไขมาตรา 111 ที่ให้ สมาชิกวุฒิสภาต้องมาจากกาาเลือกตั้งท้้งหมด ดูเผินๆเหมือนกับว่าเป็นประชาธิปไตยจ๋า เพราะมีที่มาจากประชาธิปไตย แต่ถ้าพิจารณาจากความเป็นจริงจากพวก สส.ในปัจจุบันก็พอนับหัวได้ว่ามีใครบ้างที่มีคุณภาพ และพูดก็พูดเถอะพวก สว.ที่มีบทบาทเป็นที่พึ่งให้กับประชาชนก็ล้วนมาจากพวกสว.สรรหาแทบทั้งสิ้น ขณะที่ สว.เลือกตั้งแทบจะไม่มีบทบาท หรือลู่ไปตามลมเอียงข้างไปทางผลประโยชน์ของฝ่ายบริหารหรือรัฐบาลทั้งสิ้น
อย่างไรก็ดีเป้าหมายแท้จริงแล้วนี่คือแผนารยึดสภาสูงของ ระบอบทักษิณ อย่างเบ็ดเสร็จผ่านทางการเลือกตั้ง เพราะแน่นอนว่าเมื่อมีการเลือกตั้ง สว.แบบไม่มีการเว้นวรรค สามารถทำได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งต่อไปเราก็จะได้เห็นภาพของ "สภาผัวสภาเมีย" รวมไปถึง "สภาทาส" ที่เคยเกิดขึ้นในอดีตก็จะกลับมาอีกครั้งและคราวนี้จะหนักหนาสาหัสกว่าเดิม หน้าด้านกว่าเดิม เหมือนย่างที่เราได้เห็นบทบาทของประธานวุฒิสภาที่ชื่อ นิคม ไวยรัชพานิช กันแล้ว
แต่ที่น่าจับตาก็คือความพยายามในการแก้ไขมาตรา 68 ที่บังคับให้การยื่นเรื่องตีความเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญให้เป็นหน้าที่ผูกขาดของอัยการสูงสุด ห้ามยื่นโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญ ที่สำคัญก็คือนี่คือการตัดอำนาจพิทักษ์รัฐธรรมนูญของภาคประชาชน มันช่าง "โคตรประชาธิปไตย"เสียจริง อย่างไรก็ดีหากพิจารณากันแบบรู้ทันก็คือ นี่คือการชำเรารัฐธรรมนูญขนานแท้ เพราะถ้าทำสำเร็จต่อไปการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ที่ค้างวาระที่3 ก็สามารถดำเนินการได้ทันที เพราะต่อไปนี้ต้องรอความเมตตาจากอัยการสูงสุดเท่านั้น และที่ผ่านมาหากพิจารณาจากผลงานแล้วเชื่อว่าหลายคนคงรับรู้กันดีอยู่แล้วว่าเป็นแบบไหน
ดังนั้นถ้าพิจารณาจากความเคลื่อนไหวและกระแสสังคมที่นิ่งเฉยไม่รู้ร้อนรู้หนาวก็ต้องมั่นใจว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา เพื่อเพิ่มอำนาจ และสร้างรายได้เพิ่มให้กับระบอบทักษิณ และเครือข่ายในสังกัด และเพื่อนำไปสู่การรื้อใหม่ทั้งฉบับในอนาคตเป็นบันใดขั้นต่อไป จนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แบบพลิกฟ้าคว่ำดินในวันหน้าคงทำได้ไม่ยาก และไม่ไกลเกินเอื้อมจริงๆ
อย่างไรก็ตามใช่ว่าทุกอย่างจะผ่านได้โดยสะดวก ไม่มีความเสี่ยงเกิดขึ้น แม้ว่าปาหี่ในสภาเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราจะทำท่าผ่านฉลุย แต่ขณะเดียวกันต้องผ่านด่านสำคัญให้ได้เสียก่อน นั่นคือปมเงินกู้ 30 ล้านบาทที่นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปล่อยกู้ให้กับ สามีนอกสมรส ซึ่งรายละเอียดไม่ต้องไปสนใจมาก รู้แต่เพียงว่าคนในครอบครัวนี้มีแต่เรื่องซุกเรื่องซ่อนมาตลอด และในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าทางคณะกรรมการป่องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ปปช.) มีกำหนดพอจารณาว่าจะตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาไต่่สวนหรือไม่ ถ้าผลออกมาว่าต้องสอบสวนความไม่ชอบมาพากลเมื่อไหร่รับรองว่าหนาวแน่ และสำหรับ ยิ่งลักษณ์ และ ทักษิณ ชินวัตร ย่อมรับรู้ถึงประสบการณ์ในอดีตได้ดี เพราะถ้ามีการชี้มูลความผิดขึ้นมาเมื่อไหร่ มันก็ป๊อกทันที
ด้วยสาเหตุแบบนี้แหละที่ทำให้ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าแบบปัจจุบันทันด่วน ด้วยการสั่งให้เด็กในบ้าน อย่าง เกษม นิมมลรัตน์ ลาออกจาก สส.เชียงใหม่ เขต 3 เพื่อเปิดทางให้ เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาวอีกคนของ ทักษิณ เข้ามาคุมเกมจ่อเป็นนายกฯสำรอง หาก ยิ่งลักษณ์ เกิดอุบัติเหตุทางการเมืองด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง
แม้ว่าความเคลื่อนไหวในสภาทาสจะดำเนินไปตามแผนชั่วที่วางเอาไว้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน แต่บางครั้ง "คนคำนวณอาจมิสู้ฟ้าลิขิต" และหากเชื่อในเรื่องกรรม ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามกรรม เป็นที่ติดจรวดดาวเทียมก็เป็นได้ !!
