xs
xsm
sm
md
lg

ปัญหาคืออีก 50 ปี “แม้ว-ปู” เป็นปุ๋ย แต่ชาวบ้านใช้หนี้หัวโต!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ทักษิณ ชินวัตร
ผ่าประเด็นร้อน

น่าสมเพชเวทนาเป็นอย่างยิ่ง ที่ ทักษิณ ชินวัตร เริ่มกลับมาใช้ช่องทางสื่อสารทางโลกออนไลน์กับชาวบ้านอีกรอบ โดยเฉพาะการโพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊กที่เริ่มกลับมาอีกครั้ง อาจเป็นเพราะในช่วงหลังโดนถล่มในโลกออนไลน์อย่างหนักหน่วงในหลายเรื่อง ทั้งในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่คิดจะรวบอำนาจในมือเพียงผู้เดียว หรือก่อนหน้านี้โดนถล่มไม่ยั้งในเรื่อง “โคตรเงินกู้” จำนวน 2 ล้านล้านบาท ที่สร้างภาระหนี้สินให้กับลูกหลานต้องตามใช้หนี้ไปอีกไม่ต่ำกว่า 50 ปี รวมทั้งต้นทั้งดอกกว่า 5 ล้านล้านบาท นึกถึงทีไรเป็นต้องขนหัวลุกทุกที

ล่าสุดทำให้เขาต้องหันกลับมาใช้ช่องทางดังกล่าวชี้แจงแทนรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อีกรอบ โดยมีสาระสำคัญอ้างถึงข้อดีของการกู้เงินดังกล่าวว่ามีแต่ผลดี เป็นการเพิ่มมูลค่า สร้างเศรษฐกิจทั้งทางตรงและทางอ้อมสารพัด และที่สำคัญอาจไม่ต้องใช้เวลานานถึง 50 ปี ก็ใช้ได้หมด โดยยกตัวอย่างกรณีการใช้หนี้กองทุนการเงินระหว่างประเทศก่อนกำหนดในยุคที่เขาเป็นนายกรัฐมนตรี

ฟังดูเผินๆ อาจทำให้เกิดความเคลิบเคลิ้มคล้อยตามก็ได้ เพราะด้วยระบบความคิดของ ทักษิณ ชินวัตร ทั้งอดีตและปัจจุบันก็คือ “หากอยากรวยต้องเป็นหนี้ก่อน” หรือ “การลงทุนต้องกล้าเสี่ยง” ถ้าไม่กล้าเสี่ยงก็ไม่รวยอะไรประมาณนั้น เป็นกรพูดให้มุมมองให้ความหวังเพียงด้านเดียว ทั้งที่คนที่พูดก็ไม่ได้ทำอย่างนั้น เพราะหากพิจารณาจากที่มาของความรวยของ ทักษิณ ไม่ใช่มาจากความสามารถล้วนๆ ไม่ใช่มาจากการแข่งขันเสรีและเป็นธรรม แต่ความร่ำรวยของเขาในวันนี้ล้วนมาจากการ “ฉ้อฉล” และเอาเปรียบ เริ่มต้นมาจากการวิ่งเต้นจากอำนาจรัฐ และอำนาจรัฐดังกล่าวก็มาจาก “อำนาจเผด็จการ” ล้วนๆ ดังจะเห็นได้จากการวิ่งเต้น “สัมปทานดาวเทียม” กับคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ที่นำโดย พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ สัมปทานโทรศัพท์มือถือ ซึ่งในวงการรับรู้กันดี หรือหากย้อนกลับไปอีกก็มีการวิ่งเต้นโครงการสัมปทาน “เคเบิลทีวี” ซึ่งก็ใช่ใครที่ไหน “คนกันเอง” อย่าง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เมื่อครั้งเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุนหะวัณ ทราบดี

นี่แหละเป็นต้นตอแห่งความรวย ไม่ได้ใช้ความสามารถพิเศษส่วนตัวเหนือกว่าคนอื่นแต่อย่างใด ขณะเดียวกันเมื่อเข้ามาสู่วงการเมืองก็เหมือนพยัฆค์ติดปีก

เคยได้ยินเรื่องราวที่พูดกันว่า มี “รองนายกฯ เลวๆ บางคน” ในรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ที่รับรู้ “ข้อมูลภายใน” ร่ำรวยจากค่าเงินบาท เมื่อครั้งวิกฤตต้มยำกุ้ง ปี 2540 หรือเปล่า!!

สิ่งที่ต้องนำมาพิจารณาก็คือ เมื่อครั้งที่ ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีในเวลาต่อมา ก็มีปัญหาในกรณีซุกหุ้น มีเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ถูกกล่าวหาว่าระหว่างการเดินทางไปปฏิบัติภารกิจมักมีวาระซ่นเร้นพ่วงเอาเรื่องธุรกิจครอบครัวไปด้วย ดังที่มีหลักฐานปรากฏในเรื่องการเจรจาเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) กับหลายประเทศ

ถามว่าถ้าย้อนกลับไปดูธุรกิจของทักษิณ ชินวัตร และครอบครัว หากเป็นการแข่งขันกันอย่างเป็นธรรมล้วนแล้วแต่ “เจ๊งไม่เป็นท่า” ไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจผ้าไหม โรงหนัง จิปาถะ แต่ถ้าถามว่าสิ่งที่ทำให้เขารำรวยมาจนถึงวันนี้ก็ล้วนต้องอิงแอบกับอำนาจรัฐทั้งที่มาในรูปแบบผ่านทางคนอื่นหรือในปัจจุบัน “มาแบบทางตรง”

ถามว่า ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัวได้ประโยชน์จากรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งเป็นน้องสาวของตัวเอง ลักษณะที่แสดงออกในเวลานี้เขาทำตัวไม่ต่างจาก “นายหน้าข้ามชาติ” เป็นตัวแทนให้กับบริษัทต่างชาติยักษ์ใหญ่ โดยเฉพาะธุรกิจพลังงาน ที่สำคัญกำลังมีความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับรัฐบาลของเขาในเรื่องการเจรจากับต่างชาติทำได้มากขึ้น แก้ไขเพิ่มอำนาจให้รัฐบาล รุกคืบเข้าครอบงำวุฒิสภา เพื่อลดการตรวจสอบ คุกคามองค์กรอิสระที่เป็นอุปสรรคต่อการบริหารราชการตามใจชอบ

เมื่อย้อนกลับมาที่ข้อความในเฟซบุ๊กของทักษิณ ที่บอกว่าการกู้เงิน 2 ล้านล้านบาทมีแต่ผลดี สร้างความเติบโตให้กับประเทศชาติทั้งทางตรงและทางอ้อม และสามารถใช้หนี้หมดก่อนกำหนด 50 ปี แต่คำถามก็คือในความเป็นจริง แม้จะไม่ถึง 50 ปี แต่รับรองว่าไม่น่าจะต่ำกว่า 40 ปีแน่นอน ถึงตอนนั้น ทั้ง ทักษิณ ทั้งยิ่งลักษณ์ หรือแม้แต่ “ลูกโอ๊ค” พานทองแท้ ชินวัตร ก็ไม่น่าจะมีอายุยืนมารับผิดชอบ เพราะคงตายเป็นปุ๋ยไปเรียบร้อยแล้ว ขณะเดียวกันเมื่อรวมทั้งต้นทั้งดอกแล้วมันจะเพิ่มพรวดขึ้นเป็น 5 ล้านล้านบาทต่างหาก อีกทั้งยังเป็นการกู้เงินมาใช้โดยที่ยังไม่มีการศึกษารายละเอียดและความเป็นไปได้ของแต่ละโครงการ มีแต่การขายฝันทางการตลาดให้เคลิบเคลิ้มเพียงอย่างเดียว

ที่สำคัญคนที่ได้ประโยชน์ล้วนแล้วแต่เป็นคนในครอบครัวชินวัตรและพวกนักการเมืองในเครือข่ายเท่านั้นที่จะเข้ามาแบ่งเค้กตามระดับความสำคัญ เหมือนกับการ “ตีเช็คเปล่า” ให้ชาวบ้านเป็นคนเสี่ยงรับผิดชอบ แต่เมื่อถึงคราวซวยตัวเองก็สะบัดก้นจากไปแล้ว ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ทั้งจากชายแดนใต้ เรื่อยไปจนถึงสถานการณ์เศรษฐกิจโลกแล้วมันน่ากลัว คงไม่ต้องรอไปจนถึง 40-50 ปีก็ได้ แต่ 1-2 ปีข้างหน้าก็น่าจะเห็นผลแล้วก็ได้!!
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
กำลังโหลดความคิดเห็น