โฆษก ครม.เงา ชี้ร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้าน ลักไก่ ยัดไส้ ไม่ชัดเจน จงใจตบตาประชาชน มากกว่ากู้เงินไอเอ็มเอฟ 4 เท่า ติดหนี้ 50 ปี คลังขายฝันจีดีพีโต-จำนำข้าวรุ่ง เย้ยไม่มีทาง หนี้สาธารณะพุ่งเกินร้อยละ 50 แน่ อนาถ เอกสารมีสาระสำคัญแค่ 5 หน้า ซ่อนแผนลงทุนไว้ในเอกสารประกอบตบตาประชาชน เปิดทางโยกงบมโหฬาร ตรวจสอบไม่ได้ เตรียมเสนอร่างกฎหมายประกบ
วันนี้ (24 มี.ค.) นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี โฆษกคณะรัฐมนตรีเงา พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พรรคเห็นด้วยกับโครงการที่รัฐบาลกำหนดในการลงทุนปรับโครงสร้างพื้นฐาน แต่จากการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท พบว่า มีลักษณะ ลักไก่ ยัดไส้ ไม่ชัดเจน ทั้งที่เป็นการกู้เงินมากกว่าการกู้จากไอเอ็มเอฟของรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ถึง 4 เท่า และมีระยะเวลาการชำระหนี้นานถึง 50 ปี แต่กระทรวงการคลัง อ้างว่าหนี้สาธารณะจะไม่เกินร้อยละ 50 ของจีดีพี โดยอ้างสองสมมติฐานคือ เชื่อว่าอีก 7 ปีข้างหน้าจะมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจปีละร้อยละ 7.5 และหลังปี 2556 โครงการจำนำข้าวซึ่งขาดทุนปีละไม่ต่ำกว่าสองแสนล้านจะไม่ขาดทุนอีก ซึ่งตนมั่นใจว่าไม่มีทางเกิดขึ้นได้แน่นอน ดังนั้นหนี้สาธารณะจะพุ่งเกินร้อยละ 50 อย่างแน่นอน และจะทำให้เงินกู้ 2 ล้านล้าน จะเป็นการกู้เงินลงทุนก้อนสุดท้ายของประเทศไทย เพราะประเทศไทยจะไม่สามารถกู้เงินได้อีก โดยรัฐบาลระบุว่าจะทำให้งบสมดุลภายในปี 2560
นายอรรถวิชช์ กล่าวด้วยว่า ร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท มีเนื้อหาสาระเพียงแค่ 5 หน้า และ 2 หน้าหลังเป็นบัญชีแนบท้ายพระราชบัญญัติ ซึ่งไม่ได้กำหนดว่าโครงการใดจะสร้างที่ไหน เวลาใด ความยาวเท่าไหร่ แต่มีการลักไก่ที่จะก่อให้เกิดการโยกงบประมาณมหาศาลในประเทศไทย โดยมีการกำหนดไว้ 3 ยุทธศาสตร์ คือ 1.ยุทธศาสตร์การปรับเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งสินค้าทางถนนสู่การขนส่งที่มีต้นทุนต่ำกว่า 3.5 แสนล้าน 2.ยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกในการเดินทางและขนส่งไปสู่ศูนย์กลางของภูมิภาคทั่วประเทศ และเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน วงเงิน 1.04 ล้านล้านบาท 3.ยุทธศาสตร์พัฒนาและปรับปรุงระบบขนส่งเพื่อยกระดับความคล่องตัว 5.9 แสนล้าน และอีกกว่า 9 พันล้าน สำหรับการสนับสนุนดำเนินการตามสามยุทธศาสตร์ดังกล่าว แต่ในบัญชีแนบท้ายกลับไม่มีการระบุรายละเอียดเกี่ยวกับแผนการดำเนินโครงการ แม้รัฐบาลใช้วิธีการแยกเป็นเอกสารประกอบอีกกว่า 200 หน้า และจะแจกให้กับ ส.ส.ได้พิจารณาในวันพุธที่ 27 มี.ค.นี้ ซึ่งจะเป็นการเปิดช่องให้มีการโยกงบประมาณได้ตามใจชอบ โดยที่สภาจะไม่มีโอกาสได้ตรวจสอบ
“เมื่อสภาผ่านความเห็นชอบกฎหมายกู้เงิน 2 ล้านล้านบาทไปแล้ว ก็จะไม่มีการกลับเข้าสู่การพิจารณาของสภาอีกว่ามีการดำเนินการโครงการไปอย่างไร ซึ่งแตกต่างจากการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี ที่จะมีการตรวจสอบทุกปีว่างบประมาณที่ถูกตั้งไว้มีการใช้จ่ายตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้แต่แรกหรือไม่ จึงเปรียบเสมือนการตีเช็คเปล่าให้กระทรวงการคลัง เป็นตั๋วเดินทางเที่ยวเดียว หรือวันเวย์ทิกเก็ต ซึ่งถือเป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่ง” นายอรรถวิชช์ กล่าว
โฆษกคณะรัฐมนตรีเงา พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวต่อว่า ยังพบว่า รัฐบาลโกหกประชาชน ที่บอกว่าการกู้เงินครั้งนี้ เพื่อทำโครงการกระดูกสันหลังของชาติ จึงมีความจำเป็นต้องกู้มหาศาล แตในรายละเอียดกลับมีการยัดไส้ในยุทธศาสตรที่ 3 ในเรื่องการสร้างถนนที่มีการเติมแนบท้ายว่ารวมทั้งพัฒนาพื้นที่เกษตร อุตสาหกรรมและท่องเที่ยว ซึ่งเท่ากับว่าจะมีการทำถนนแบบเส้นเลือดฝอย ใช้งบจากเงินกู้ถึง 5 แสนกว่าล้าน จึงเชื่อว่า นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมว.คมนาคม จะถูก ส.ส.พรรคเพื่อไทยรุมทึ้งงบประมาณในส่วนนี้แน่นอน ทั้งนี้เห็นว่ากฎหมายกู้เงินดังกล่าวจะทำให้การใช้จ่ายเงินไม่เป็นไปตามระบบงบประมาณของประเทศไทยอีกต่อไป ซึ่งจะทำให้ตรวจสอบยากมาก อีกทั้งการระบุเส้นทางก่อสร้างโครงการรถไฟความเร็วสูงก็ไม่มีอะไรเป็นหลักประกันว่าจะสร้างได้ทุกเส้นทางตามที่รัฐบาลกล่าวอ้าง เพราะสามารถปรับเปลี่ยนโครงการได้ตลอดเวลา
“การไม่ระบุให้ชัดเจนในบัญชีแนบท้าย ซึ่งถือเป็นการตบตาประชาชน สืบทราบมาว่าข้าราชการกระทรวงการคลังได้นำเสนอให้แนบเอกสารประกอบที่ระบุถึงรายละเอียดเกี่ยวกับการดำเนินโครงการไว้ในบัญชีแนบท้าย แต่ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รมว.คลัง ให้ตัดออกไปเป็นเอกสารประกอบแทน โดยอ้างว่าเพื่อความคล่องตัว แต่ผมคิดว่าน่าจะทำเพื่อความคล่องคอมากกว่า ทั้งนี้พรรคอยู่ในระหว่างการพิจารณาว่าจะเสนอร่างประกบหรือไม่ ซึ่งจะไม่ใช่กฎหมายกู้เงินแต่ยังอยู่ในขั้นตอนการหารือกับทีมกฎหมายอีกครั้ง”
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงจำนวนเงิน 2 ล้านล้านบาทที่รัฐบาลจะกู้ว่าเป็นจำนวนมหาศาล หากเอาแบงก์พันมาเย็บต่อกัน 2 ล้านล้านบาท พันในจุดศูนย์กลางไปรอบโลกได้ 8 รอบ
