โฆษก ปชป.ย้อนสมัยพลังประชาชน ลงนามหนุนกัมพูชาขึ้นมรดกโลกพระวิหาร แถมยกแผนที่โดยรอบให้ จนยุค ปชป.ถึงได้ค้าน ซัด รบ.“ปู” นิ่ง ไม่ถอนตัว กก.มรดกโลก ส่อเจตนาชัดหวังยกให้เขมรจนสำเร็จ คุยยุค “มาร์ค” ยึดผลประโยชน์ประเทศ ทำ “ฮุนเซน” ขัดใจ ไม่เหมือน รบ.ซี้ เพราะแลกผลประโยชน์ ยัน “วีระ-ราตรี” ลดโทษเรื่องดีอย่าโยงการเมือง แจงช่วย “ราตรี” ได้ แต่เจ้าตัวขออยู่สู้กับ “วีระ”
วันนี้ (13 ม.ค.) นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงเหตุการณ์คดีพิพาทประสาทเขาพระวิหารระหว่างไทยกัมพูชา ว่า เริ่มจากรัฐบาลพรรคพลังประชาชนไปลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา สนับสนุนให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่เพียงฝ่ายเดียว โดยที่ไทยไม่คัดค้าน ซึ่งก่อนหน้านั้น รัฐบาลทุกชุดได้พยายามที่จะขัดขวาง โดยผลักดันให้มีการขึ้นทะเบียนร่วมกันของทั้งสองประเทศ แต่พรรคพลังประชาชนกลับสนับสนุนให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนได้เพียงฝ่ายเดียว จนเป็นปัญหามาถึงทุกวันนี้ แม้ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยให้แถลงการณ์ดังกล่าวเป็นโมฆะ เนื่องจากขัด รธน.มาตรา 190 แต่ก็ไม่เป็นผลในการยับยั้ง เนื่องจากกัมพูชาได้ใช้แถลงการณ์ดังกล่าวเป็นประโยชน์ต่อการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกไปเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งยังมีแผนบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาท เพื่อให้การขึ้นมีทะเบียนมีความสมบูรณ์ แต่รัฐบาลประชาธิปัตย์ได้เข้าไปคัดค้านตลอดช่วงการบริหารประเทศเกือบ 3 ปี ในเวทีมรดกโลก ด้วยการโต้แย้งสิทธิในพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร ว่า อาจกระทบต่ออธิปไตยของไทย จนทำให้กัมพูชาไม่สามารถบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารตามแผนที่เสนอต่อมรดกโลกได้มาจนถึงทุกวันนี้
นายชวนนท์ กล่าวด้วยว่า แต่รัฐบาลชุดนี้กลับมีจุดยืนที่แตกต่างจากรัฐบาลที่แล้ว โดยไม่ตระหนักถึงจุดยืนในการรักษาอธิปไตยของชาติ หากยังปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปในการประชุมซึ่งกัมพูชาจะเป็นเจ้าภาพคณะกรรมการมรดกโลกในช่วงเดือนเมษายน 2556 นี้ อาจทำให้ไทยเสียเปรียบ และทำให้กัมพูชาสามารถผลักดันแผนบริหารพื้นที่ได้สำเร็จ ซึ่งจะมีผลกระทบต่อการตัดสินคดีในศาลโลกด้วย เพราะท่าทีของรัฐบาลไม่มีความเข้มแข็งในการต่อสู้กับกัมพูชา จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทยทำหนังสือต่อคณะกรรมการมรดกโลก เพื่อยืนยันสถานะของไทยในการลาออกจากการเป็นประเทศสมาชิกของกรรมการมรดกโลกทันที หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ในรัฐบาลประชาธิปัตย์เคยประกาศลาออกเอาไว้ด้วยวาจา แต่ช่วงนั้นเป็นรัฐบาลรักษาการ จึงไม่ได้มีการทำหนังสือยืนยันอย่างเป็นทางการ รอให้เป็นการตัดสินใจของรัฐบาลชุดใหม่ อย่างไรก็ตาม เห็นว่า มีความจำเป็นที่ต้องยืนยันการลาออกดังกล่าว แต่ถ้ายังไม่ลาออกก็ขอตั้งคำถามกลับว่า รัฐบาลต้องการให้แผนบริหารพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารของกัมพูชาตามที่เคยตกลงไว้ในสมัยรัฐบาลพรรคพลังประชาชนให้ประสบความสำเร็จใช่หรือไม่
นายชวนนท์ ยังกล่าวถึงกรณีที่กัมพูชาจะปล่อยตัว น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ในวันที่ 1 ก.พ.2556 และ อภัยโทษ นายวีระ สมความคิด เหลือ 6 เดือน ว่า คนไทยตั้งหน้าตั้งตารอการกลับมาของทั้งสองคน ไม่ควรมีการนำมาเป็นประเด็นทางการเมืองทั้งสิ้น เพราะอยู่ในคุกสองปีกว่าแล้ว แต่ที่พรรคเพื่อไทยพยายามกล่าวหาว่า เพราะพรรคประชาธิปัตย์ช่วยแต่ ส.ส.ของตัวเอง และมีความสัมพันธ์ไม่ดี จึงทำให้บุคคลทั้งสองต้องอยู่ในคุกนั้น ทำให้ต้องชี้แจงความจริงว่า เหตุผลที่ทำให้ความสัมพันธ์ไม่ดี เพราะพรรคประชาธิปัตย์รักษาศักดิ์ศรี ผลประโยชน์คนไทยและอธิปไตยของชาติ ทำให้กัมพูชาไม่พอใจ ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวระหว่างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และ สมเด็จฮุนเซน นายกฯกัมพูชา จึงขอถามพรรคเพื่อไทย ว่า ที่มีความสัมพันธ์ดีกับกัมพูชาได้ต่อสู้เหมือนที่พรรคประชาธิปัตย์ทำหรือไม่ หรือว่าความสัมพันธ์ดีเกิดขึ้น เพราะมีการเอาผลประโยชน์ไปประเคนให้กัมพูชา ทั้งทางบกและทางทะเล ทั้งนี้ ตนยืนยันว่า พรรคเลือกรักษาประโยชน์ให้ชาติแม้ความสัมพันธ์จะกระท่อนกระแท่นก็ตาม
นายชวนนท์ กล่าวว่า อีกทั้งภายหลังเหตุการณ์ที่คนไทยถูกจับกุมนั้น มีคนไทยถูกจับทั้งหมด 7 คน ตน และ นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศในขณะนั้น ได้เดินทางไปทันที รวมถึงเดินทางไปอีกหลายครั้ง เพื่ออำนวยความสะดวกให้ญาติและช่วยเหลือคนไทยทั้งหมดด้วยการเจรจากับกัมพูชาจนประสบความสำเร็จสามารถช่วยเหลือได้ 6 คน แต่ นางสาวราตรี ปฏิเสธที่จะลงนามในหนังสือที่จะได้รับการปล่อยตัว โดยสมัครใจที่จะอยู่กัมพูชาร่วมกับ นายวีระ ซึ่งเราก็เสียใจที่ช่วยไม่ได้ครบทุกคน พร้อมกับยืนยันว่า ไม่เคยเลือกปฏิบัติ หรือเอาเรื่องดังกล่าวมาเป็นเครื่องมือการเมืองดิสเครดิตฝ่ายตรงข้ามเพื่อสร้างชื่อเสียงให้ตัวเอง แต่ดำเนินการทุกอย่างโดยยึดถือประโยชน์ประเทศบนพื้นฐานของความจริง