“คำนูณ” เตือนเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะปฏิเสธอำนาจศาลโลก ด้วยการไปแถลงด้วยวาจาในวันที่ 15-19 เม.ย. 56 เชื่อถ้าไทยเสียดินแดนประชาชนอาจลุกขึ้นมาล้มรัฐบาล ด้าน “ทูตสุรพงษ์” แนะเตรียมรับมือเขมรฟ้องคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ด้วยการเจรจากับสมาชิกถาวร 5 ประเทศแต่เนิ่นๆ มั่นใจไม่มีใครทำอะไรไทยได้
วันที่ 8 ม.ค. นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา และนายสุรพงษ์ ชัยนาม อดีตเอกอัครราชทูต 5 ประเทศ ได้ร่วมสนทนาในรายการ “คนเคาะข่าว” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV
นายคำนูณกล่าวว่า การไปศาลโลกนั้น ศ.ดร.สมปอง สุจริตกุล ก็เคยเขียนบทความเตือนไว้แล้วว่าไปได้ แต่ไปเพื่อปฏิเสธเขตอำนาจศาลโลก ไม่ใช่ไปต่อสู้คดีแล้วเอาประเด็นนี้เป็นเพียงหนึ่งในการต่อสู้ แล้วถ้าเขาไม่ฟังเราก็ยอมปฏิบัติตามเขา ที่สำคัญเราเสียโอกาสที่จะยืนหยัดปฏิเสธเขตอำนาจศาลโลกมาแล้ว 2 ครั้ง ครั้งแรกที่ไปศาลโลกไม่พูดให้ชัดเจนว่าถึงอย่างไรก็ไม่รับเขตอำนาจศาลโลก แต่เสมือนไปยกขึ้นมาเป็นหนึ่งในข้อต่อสู้คดี อีกกรณีหนึ่งที่น่าประหลาดใจมาก คือ เราไม่เคยยกข้อสงวนที่แจ้งต่ออธิการสหประชาชาติเมื่อ 6 ก.ค. 2505 ขึ้นมาพูดถึงเลย ทั้งๆ ที่เป็นภูมิปัญญาของบรรพบุรุษไทย แม้ไม่มีผลทางกฎหมายชัดเจน แต่มันก็เป็นประกาศที่ยืนยันว่าเราไม่เอาศาลโลก ถ้าเอาไปประกอบก็จะมีน้ำหนักสูงขึ้น ที่เราไม่เอานั่นเป็นเพราะดูถูกสิ่งที่บรรพบุรุษทำเอาไว้
เสียโอกาสครั้งที่ 2 คือ กัมพูชายื่นขอคำสั่งมาตรการคุ้มครองชั่วคราว แล้วศาลโลกก็ทะลึ่งออกให้เมื่อวันที่ 18 ก.ค. 2554 ซึ่งเป็นการกำหนดเขตปลอดทหารที่แปลกประหลาด เพราะล้ำออกนอกพื้นที่พิพาท แล้วเราก็ดันมีมติ ครม.เมื่อ 18 ต.ค. 2554 ในเชิงที่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งมาตรการคุ้มครองชั่วคราว แม้ทางทหารเหมือนจะไม่สบายใจที่จะปฏิบัติตาม แต่ในที่สุดทหารก็ต้องถอนกำลังออกโดยอ้างว่าเป็นเพียงการปรับกำลัง
“ทั้งหมดแม้เสียโอกาสไปแล้วสองครั้ง แต่ยังไม่สายเกินไป ยังมีโอกาสอีกหนึ่งครั้งก็คือ การแถลงด้วยวาจาต่อศาลโลกในวันที่ 15-19 เม.ย. 2556 นี้ ถ้าประเทศไทยจะกลับตัวกลับใจเดินมาสู่แนวทางที่ถูกที่ควร ก็ต้องประกาศว่าไม่รับเขตอำนาจศาลโลกอย่างเด็ดขาด และขอสงวนสิทธิไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาใดๆ ที่จะกระทบต่ออำนาจอธิปไตยไทยอย่างเด็ดขาด ถ้าทำได้อย่างนี้ไม่ว่าใครจะเป็นรัฐบาล ผมเชื่อว่าประชาชนพร้อมที่จะร่วมมือร่วมใจออกมาสำแดงพลังว่า กูไม่ทำตาม ไม่ใช่เพราะเราเกเร แต่เราทำตามกฎเกณฑ์ เราไม่รับอำนาจศาลโลกมาแล้ว 50 ปีแล้ว และที่ไม่รับเพราะเห็นว่าศาลไม่ยุติธรรม มีการเมืองแทรกแซงสูง” นายคำนูณกล่าว
นายคำนูณกล่าวต่อว่า ที่ตนพูดว่าเป็นโอกาสสุดท้ายของท่านทั้งหลาย เพราะพวกเราทำหน้าที่แล้ว เสนอความเห็นทุกทางแล้ว แต่หากผู้มีหน้าที่โดยตรงไม่ทำ ตนคิดว่าแผ่นดินนี้ศักดิ์สิทธิ์ แล้วอย่าประมาท วันนี้คนไทยอาจยังไม่ตื่นรู้ ถ้าสมมติเราไม่ใช้โอกาสสุดท้ายนี้ให้เป็นประโยชน์ แล้วคำตัดสินของศาลโลกเป็นผลลบต่อไทยถึงขั้นทำไทยเสียแผ่นดิน ตนว่าคนไทยอาจจะคิดอีกอย่าง ถามว่าสมควรเสี่ยงหรือไม่
ด้านนายสุรพงษ์กล่าวว่า ที่นักการเมืองอ้างว่าถ้าเราไม่ไป ศาลโลกก็สามารถพิจารณาฝ่ายเดียวได้ อันนี้ก็จริง แต่ตนมั่นใจว่า ถ้าไม่ไปศาลโลกต้องคิดถึงภาพลักษณ์ ถ้าตัดสินโดยที่อีกฝ่ายไม่ยอมรับ ภาพที่ออกมาจะกลายเป็นศาลการเมือง ฉะนั้นเราอย่าไปกลัวการพิจารณาข้างเดียว เพราะเราไม่รับอยู่แล้วไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร
ประเด็นที่ 2 ถ้ารัฐบาลต้องการรักษาผลประโยชน์ชาติจริง ต้องคิดถึงกฎบัตรสหประชาชาติข้อ 94 คือ เขมรอาจจะร้องเรียนไปยังคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาติหากเราไม่ยอมทำตามศาลโลก ฉะนั้น รัฐบาลควรไปพบจีน รัสเซีย อังกฤษ สหรัฐฯ ฝรั่งเศส ถ้าผลออกมาในกรณีเลวร้ายที่สุดจะต้องทำอย่างไรต่อ ต้องเตรียมไว้แล้ว และหาประโยชน์จากความขัดแย้งของ 5 ประเทศนี้ว่าเราได้เปรียบอะไรในความสัมพันธ์กับ 5 ประเทศนี้เมื่อเทียบกับกัมพูชา ตนเชื่อว่าหากคณะมนตรีความมั่นคงฯ มีมาตรการบีบไทยแล้ว จีน รัสเซีย ก็คงใช้สิทธิยับยั้ง ฉะนั้นการตัดสินใจตามข้อ 94 ไม่ได้เป็นไปได้ง่ายๆ คนไทยอย่าไปตกใจว่ามันจะเอาระเบิดมาทิ้ง แต่เราต้องเตรียมข้อต่อรองล่วงหน้าไว้ เพื่อผลประโยชน์ของชาติ