xs
xsm
sm
md
lg

ไม่รับอำนาจศาลโลก เขมรประชิดชายแดน ปลุกคนไทยต้านปล้นชาติ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน-พธม.บุกทำเนียบฯ จี้รัฐบาลไม่รับอำนาจศาลโลก อ้างกฎบัตรสหประชาชาติ สมาชิกไม่มีสิทธิแทรกแซงอธิปไตยไทย ลั่นชุมนุมใหญ่ หากรัฐบาลเพิกเฉย ขณะที่"ครม.ปู"อุ้มงูเห่า อนุมัติงบช่วยกัมพูชาพัฒนากองทัพ ทภ.2 แจงทหารเขมรประชิดชายแดน แค่ฝึกกำลังพลตามปกติ ขณะที่ชายแดนสุรินทร์ตึงเครียด พบทหารเขมร 80 นายพร้อมอาวุธเข้าวางกำลังประชิดชายแดนไทยใกล้ช่องปลดต่าง อ.กาบเชิง สุรินทร์ ขนครอบครัวบุกสร้างบ้านประชิดชายแดนไทย ส่วน “ปราสาทตาควาย” เขมรเหิมขีดเส้นห้ามคนไทยเข้าไปจุดอ้างสิทธิ์ห่างตัวปราสาทไม่ถึง 1 เมตร ด้านภาคีคณาจารย์-นศ.ราชภัฎโคราช ออกแถลงการณ์ประณามนักการเมือง“โจราธิปไตย”จ้องยกแผ่นดินไทยให้เขมร เพื่อผลประโยชน์ต่างตอบแทน ปลุกคนไทยลุกฮือ

เมื่อเวลา 9.00 น. วานนี้ (8 ม.ค.) นายปานเทพ พัวพงศ์พันธ์ ผู้แทนแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) พร้อมมวลชนประมาณ 150 คน เดินทางเข้ายื่นหนังสือถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ประตู 4 ทำเนียบรัฐบาล กรณีขอให้รัฐบาลไทยปฏิเสธอำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ และรักษาอำนาจประชาธิปไตยแห่งราชอาณาไทย พร้อมข้อเรียกร้อง 7 ประการ ประกอบด้วย

1.ในวันที่ 15-19 เม.ย.56 ที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศจะมีการพิจารณาคดี กรณีประเทศกัมพูชายื่นคำขอตีความคำพิพากษาปราสาทพระวิหาร ปี 2505 ซึ่งราชอาณาจักรไทยถือว่า ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศไม่มีอำนาจในการตีความคดีนี้ และจะไม่รับอำนาจศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากการตีความนั้นก่อให้เกิดผลเสียต่ออธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของราชอาณาจักรไทย และประเทศไทยเป็นประเทศที่ไม่ได้ต่ออายุปฏิญญาการประกาศยอมรับอำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศมากว่า 50 ปี จึงไม่จำเป็นต้องรับอำนาจของศาลโลก

2. เมื่อประเทศไทยไม่รับอำนาจของศาลยุติธรรมฯในการตีความแล้ว รัฐบาลจึงไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามมาตรการคุ้มครองชั่วคราวของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ไม่ต้องถอนทหาร หรือตำรวจตระเวนชายแดนออกจากแผ่นดินไทย และขอให้เร่งผลักดันชุมชนกัมพูชาให้ออกจากแผ่นดินไทย

3.ให้รัฐบาลเร่งฟื้นฟูและพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกับประเทศในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติอย่างเร่งด่วน

4. อาศัยกฎบัตรสหประชาชาติ ข้อ 2 วรรค 7 ให้รัฐบาลไทยยืนยันว่า สมาชิกสหประชาชาติไม่มีอำนาจในการแทรกแซงเรื่องภายในอธิปไตยของไทย และให้รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย ยืนยันตามข้อ 2 (ก) และ 2 (ง) แห่งกฎบัตรสมาคมแห่งประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ว่า รัฐสมาชิกอาเซียนจะต้องปฏิบัติตามหลักการในการเคารพเอกราช อธิปไตย ความเสมอภาค บูรณภาพแห่งดินแดน ตลอดจนไม่แทรกแซงกิจการภายในของรัฐสมาชิกอาเซียน

5. รัฐบาลไทยจะต้องไม่กลับเข้าไปเป็นภาคีอนุสัญญามรดกโลกอีก

6. ให้รัฐบาลไทยหยุดการใช้นักวิชาการ 7.1 ล้านบาท ที่ได้รับการจ้างจากกระทรวงการต่างประเทศมาโฆษณาชวนเชื่อในสื่อของรัฐฝ่ายเดียว เพียงเพื่อให้คนไทยยอมจำนนกับการยกดินแดนไทยให้กับกัมพูชา เพราะนักวิชาการเหล่านี้ มีจุดยืนอยู่ข้างกัมพูชา และควรเปิดพื้นที่สื่อให้กว้างขวางเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลจากผู้ที่ต้องการปกป้องอธิปไตยของชาติ และไม่เห็นด้วยกับนโยบายของรัฐบาลด้วย

7.ให้ช่วยเหลือ นายวีระ สมความคิด และ น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ให้ถูกปล่อยตัวจากเรือนจำกัมพูชาโดยเร็ว

ดังนั้นพันธมิตรฯ จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาล หันมาใช้กลไกคณะกรรมการร่วมเขตแดนไทย-กัมพูชา (เจบีซี) เท่านั้น เมื่อรัฐบาลรับทราบข้อเรียกร้องดังกล่าวแล้ว หากยังไม่ปฏิบัติตามแล้วนั้น จะถือว่าสมรู้ร่วมคิดในการกระทำครั้งนี้ด้วย และขอย้ำว่า การยื่นหนังสือเรียกร้องในวันนี้ของพันธมิตรฯ ไม่ได้ทำไปตามอารมณ์ชั่ววูบ แต่ทำตามข้อคิดเห็นของ ดร.สมปอง สุจริตกุล ซึ่งเป็นทนายผู้ประสานงานคนสุดท้ายที่ยังมีชีวิตอยู่ในคดีเขาพระวิหาร

" พธม.จะรอดูการทำหน้าที่ของรัฐบาลจนถึงที่สุดก่อน หากรัฐบาลไม่ทำหน้าที่ของตัวเอง ทางกลุ่มพันธมิตรฯ จึงจะกำหนดมาตรการของตัวเองต่อไปในอนาคต หากมีประชาชนเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ พันธมิตรฯ ก็พร้อมจะเดินหน้าทำการชุมนุมโดยทันทีในเวลาอันสมควร "

ทั้งนี้นายสมภาส นิลพันธ์ ผู้อำนวยการศูนย์บริการประชาชนสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้มารับหนังสือดังกล่าว

** แค่ทหารเขมรฝึกซ้อมตามปกติ

พล.ต. ประวิทย์ หูแก้ว โฆษกกองทัพภาคที่ 2 กล่าวถึงกระแสข่าวว่า กำลังทหารกัมพูชาพร้อมอาวุธครบมือจำนวน 80 นาย เดินเท้าเข้าประชิดชายแดนไทย บริเวณหลักเขตแดนที่ 17 ใกล้ช่องปลดต่าง ต.ตะเคียน อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ว่า จากการตรวจสอบเป็นเพียงการฝึกของเขา และตอนนี้ก็ไม่มีแล้ว เพราะเขาฝึกเสร็จและกลับไปแล้ว ทั้งนี้ ไทยกับกัมพูชา มีข้อตกลงว่า ถ้าเป็นการฝึกที่อยู่ใกล้แนวชายแดน และมีการใช้อาวุธ กระสุนที่มีเสียงจะมีการประสานกันก่อน แต่ถ้าเป็นการฝึกในพื้นที่ที่ห่างจากแนวชายแดน ก็ต่างฝ่ายต่างฝึกกันไป

" ขณะนี้พื้นที่ของเราปกติดี ทั้งนี้ทาง พล.ท.จีระศักดิ์ ชมประสพ แม่ทัพภาคที่ 2 ได้เน้นย้ำกำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดนให้ดูแลอธิปไตย และพื้นที่ของเราให้มีความสงบเรียบร้อย รวมถึงให้กำลังพลมีวินัย อย่าสร้างเรื่อง หรือสร้างเงื่อนไขข้อขัดแย้ง แม้สถานการณ์ตามแนวชายแดนจะปกติ ไม่มีอะไรแล้ว แต่ให้กำลังพลเตรียมพร้อมปฏิบัติภารกิจให้เต็มที่ ส่วนจากนี้เป็นต้นไปจนถึงช่วงที่ศาลโลกตัดสิน จะมีเหตุการณ์ความตึงเครียดทางชายแดนหรือไม่นั้น คงยืนยันไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องของสถานการณ์ และเป็นเรื่องหลายระดับ ทั้งในส่วนของกองทัพ จนถึงรัฐบาล แต่ขณะนี้ยืนยันได้ว่า ทหารไทยกับกัมพูชาอยู่ในพื้นที่ของตัวเอง เราไปมาหาสู่กัน และมีความสัมพันธ์ที่ดี ส่วนเรื่องความหวาดระแวงนั้นถือเป็นเรื่องปกติของฝ่ายทหารทุกประเทศ" โฆษกกองทัพภาคที่ 2 กล่าว

** ครม.ใจดีอนุมัติงบให้กองทัพกัมพูชา

นายภักดีหาญส์ หิมะทองคำ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ครม.อนุมัติหลักการให้กระทรวงกลาโหม (กห.) ดำเนินการตามแผนงานการดำเนินกิจกรรมพัฒนาความสัมพันธ์ และความร่วมมือด้านความมั่นคงกับประเทศเพื่อนบ้าน และนานาประเทศ โดยการสนับสนุนกำลังพล และยุทโธปกรณ์ รวมถึงงบประมาณให้แก่กองทัพประเทศเพื่อนบ้าน และมิตรประเทศ ในภารกิจทางทหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ราชอาณาจักรกัมพูชา สาธารณรัฐแห่งสหภาพภาพเมียนมาร์ และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เช่น กิจกรรมส่งเสริมการฝึกและศึกษา กิจกรรมส่งเสริมความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาตามแนวชายแดน กิจกรรมการสนับสนุนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และกิจกรรมการสนับสนุนการพัฒนาประเทศ การช่วยเหลือประชาชน และการส่งเสริมคุณภาพชีวิตของประชาชน กรอบวงเงินงบประมาณ 50 ล้านบาท โดยรมว.กลาโหม เป็นผู้มีอำนาจอนุมัติการดำเนินการ และให้สำนักงบประมาณพิจารณาสนับสนุนงบประมาณตามความเหมาะสมให้แก่ กระทรวงกลาโหม ต่อไป

** ส.ว.แนะใช้ความสัมพันธ์พิเศษแก้ปัญหา

ในการประชุมวุฒิสภา ที่มีนายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา เป็นประธานการประชุม ก่อนเข้าสู่วาระ นายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา ได้หารือต่อที่ประชุม ผ่านไปยังนายกรัฐมนตรี รมว.ต่างประเทศ และผู้บัญชาการกองทัพบก ถึงการเคลื่อนกำลังของทหารกัมพูชา กว่า 80 นาย ที่เดินเท้าพร้อมอาวุธมาประจำการที่ช่องปลดต่าง และช่องกระทิงลง ตรงข้าม อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ เมื่อวันที่ 7 ม.ค. ที่ผ่านมา ว่า สะท้อนถึงสัญญาณ ความไม่ปลอดภัยของพี่น้องประชาชนตามแนวตะเข็บชายแดน เริ่มเกิดขึ้นแล้ว ในฐานะกรรมาธิการการต่างประเทศ วุฒิสภา ก็มีความเป็นห่วง และติดตามให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ซึ่งปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา

รัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรี ต้องแถลงให้ชัดเจน ต้องกำหนดท่าที และดำเนินการเพิ่มประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติ โดยเฉพาะข้อกังวลในการเสียดินแดน การที่กัมพูชานำเรื่องที่ผ่านมา 50 ปีมาขึ้นฟ้องศาลโลก โดยที่ประเทศไทย ก็แถลงไม่ยอมรับอำนาจของศาลโลกเมื่อ 50 ปีที่แล้ว เช่นเดียวกันรัฐบาลปัจจุบันก็ไม่ควรรับด้วย ขณะเดียวกันก็ควรให้กัมพูชาถอนเรื่องนี้ออกไป

ส่วนกรณีความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างรัฐบาลปัจจุบัน ,พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ต่อรัฐบาลกัมพูชา ซึ่งปรากฏชัดเจนในเอกสารของกรมสอบสวนคีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ มีผู้เกี่ยวข้องที่เป็นพยาน ระบุว่า หลังการสลายการชุมนุม 7 วัน ได้เดินทางไปที่พรรคการเมืองแห่งหนึ่ง และถูกชักจูงจากการ์ด นปช. ให้ไปฝึกอาวุธที่กัมพูชา โดยมีการฝึกทั้งสิ้นจำนวน 39 คน ฝึกใช้เอ็ม 16 จรวดอาร์พีจี เอ็ม 79 ฝึกท่ายิง การจู่โจม และใช้กระสุนจริง ไม่รวมถึงนักการเมืองหลายคน ที่พึ่งพิงรัฐบาลกัมพูชา ตนจึงขอให้รัฐบาลได้ใช้ความสัมพันธ์พิเศษกับรัฐบาลกัมพูชา ในการแก้ไขปัญหานี้ให้ราบรื่น และไม่นำประเทศไปสู่การเสียดินแดน

** อัดรัฐบาลเล่นการเมืองเสียเอง

นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวตอบโต้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ออกมาระบุว่า ไม่อยากให้นำเรื่องประเด็นปราสาทเขาพระวิหารเป็นเรื่องการเมือง โดยยืนยันว่า การดำเนินการของรัฐบาลที่แล้ว ซึ่งมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น เป็นไปเพื่อการปกป้องศักดิ์ศรี อธิปไตย ผลประโยชน์ของคนในชาติและประชาชน แต่คนที่นำการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ คือ คนในรัฐบาลโดยเฉพาะ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ ที่ออกมาระบุว่า ไทยอาจแพ้ในคดีนี้ และพยายามโทษว่า เป็นความผิดของรัฐบาลชุดที่แล้ว

นายชวนนท์ ยังเรียกร้องให้นายกฯ แสดงออกให้ชัดเจนต่อคนไทยว่า พื้นที่ตามบริเวณสันปันน้ำเป็นแผ่นดินไทยทั้งหมด เพื่อให้เห็นว่า นี่คือยุทศาสตร์ซึ่งเป็นเจตนารมณ์ของรัฐบาลในการต่อสู่กับกัมพูชาในทุกเวที เพราะตนไม่สบายใจกับคำพูดของคนในรัฐบาลที่แสดงให้เห็นว่า ไม่มีความรู้ในเรื่องนี้ ทำให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติ เช่น ระบุว่า เป็นพื้นที่ทับซ้อนซึ่งความจริงคือพื้นที่พิพาท และเรามั่นใจว่าเป็นของไทย

**ปชป.เห็นควรส่งทนายไปชี้แจงศาลโลก

นายชวนนท์ ชี้แจงด้วยว่า มีความเข้าใจผิดว่า ประเทศไทยต้องยอมรับอำนาจศาลโลก หรือไม่ และรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ นำเรื่องนี้ไปสู่ศาลโลกทำไม จึงขอชี้แจงว่า รัฐบาลปชป.ไม่ได้นำเรื่องนี้ขึ้นสู่ศาลโลก แต่กัมพูชาเป็นผู้นำเรื่องขึ้นไป เพราะไม่ได้ตามเจตนารมณ์ของตัวเอง ในเรื่องการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งการขึ้นสู่การพิจารณาของศาลโลกนั้น กัมพูชาขอให้ตีความคำพิพากษาเดิมให้ศาลโลกได้พิจารณา จึงเป็นเรื่องเก่า ที่แม้ไทยจะไม่ไปต่อสู้ที่ศาลโลก ศาลและกัมพูชา ก็จะพิจารณาฝ่ายเดียวได้อยู่ดี

ดังนั้น การส่งทีมทนายความไปให้ข้อมูล จึงไม่มีอะไรเสียหาย ไม่ได้หมายความว่า เราจะรับ หรือไม่รับอำนาจของศาลโลก ส่วนหลังจากนั้นปลายปีจะมีคำพิพากษาอย่างไร คนไทยทั้งประเทศปรึกษาหารือกันได้ ว่าจะเดินหน้าอย่างไร แต่ตอนนี้เร็วเกินไปที่จะพูดว่า จะรับหรือไม่รับอำนาจศาล เพราะยังมีทางออกอีกหลายประการ ซึ่งรัฐบาลต้องหยุดนำเรื่องนี้มาเป็นประเด็นการเมือง เพราะที่ผ่านมาท่าทีชัดเจนว่า ไม่เอาจริงเอาจัง แต่โหนกระแสไปวันๆ มีการพลิกคำพูดทั้งนายกฯ และรมว.ต่างประเทศ จึงอยากให้เดินหน้าจุดยืนประเทศให้มั่นคงในการต่อสู้กับกัมพูชา

" ฝากไปถึงนายกฯ ให้เรียกรมว.ต่างประเทศ มาถามว่า ทำไมจึงปล่อยให้กัมพูชา เป็นเจ้าภาพการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกในปีนี้แต่เพียงฝ่ายเดียว เพราะถ้าไม่มีมติครม.ในเรื่องนี้ ก็เท่ากับมีการกระทำที่ฝืนมติ ครม. ยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ ที่ระบุชัดว่าหากกัมพูชาขอเป็นเจ้าภาพการประชุมกรรมการมรดกโลก ไทยจะเสนอตัวเข้าแข่งขันทุกครั้ง ดังนั้นหากไม่มีการเปลี่ยนแปลงมติ ครม.ดังกล่าว ก็เท่ากับมีการกระทำที่ฝ่าฝืนมติ ครม.สมัยรัฐบาลชุดก่อนด้วย" นายชวนนท์ กล่าว

**ย้ำแถลงการณ์ร่วมเพื่อปกป้องพื้นที่ทับซ้อน

นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ในฐานะอดีตรมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า ตามที่พรรคประชาธิปัตย์ พยายามบิดเบือน ว่า ถ้าไม่มีคำแถลงการณ์ร่วมของรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช แล้วกัมพูชาจะไม่สามารถขึ้นทะเบียนมรดกโลกได้นั้น ตนขอย้ำอีกครั้งว่า ไม่เป็นความจริง เพราะกัมพูชายื่นขอขึ้นทะเบียนมรดกโลก ตั้งแต่ก่อนยุครัฐบาลนายสมัคร จะเข้ารับตำแหน่ง แต่ปัญหาอยู่ที่ว่ากัมพูชาจะขึ้นทะเบียนทั้งตัวปราสาทพระวิหาร และพื้นที่ทับซ้อน รัฐบาลนายสมัคร จึงต้องเจรจาเพื่อขอให้ตัดพื้นที่ทับซ้อนออก ซึ่งแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลนายสมัคร เป็นผู้ปกป้องดินแดนพื้นที่ทับซ้อนเอาไว้ ไม่ให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนมรดกโลกสำเร็จ กัมพูชาจึงขึ้นทะเบียนมรดกโลกได้เฉพาะตัวปราสาท เพราะตัวปราสาทเป็นของกัมพูชาตามคำตัดสินของศาลโลก ตั้งแต่เมื่อ 50ปี ที่แล้ว ไม่ใช่ว่า นายสมัคร หรือ นายนพดล ยกตัวปราสาทให้กัมพูชา ตามที่พรรคประชาธิปัตย์ บิดเบือน

ดังนั้นกัมพูชาก็สามารถขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีคำแถลงการณ์ร่วมอยู่แล้ว แต่ปัญหาที่รัฐบาลนายสมัครต้องแก้ไขในขณะนั้นคือ ต้องเจรจาให้กัมพูชาตัดพื้นที่ทับซ้อนออกไป ไม่ให้เอาไปขึ้นทะเบียนมรดกโลกด้วย ดังนั้น แถลงการณ์ร่วม จึงทำขึ้นเพื่อปกป้องดินแดน ไม่ใช่เพื่อช่วยกัมพูชาให้นำตัวปราสาทไปขึ้นทะเบียนมรดกโลก

นอกจากนั้น คณะกรรมการมรดกโลกห้ามไม่ให้นำแถงการณ์ร่วมเข้ามาพิจารณา ตามข้อ 5 ของมติคณะกรรมการมรดกโลก เมื่อวันที่ 7 ก.ค. 51 และคดีที่อยู่ในศาลโลกขณะนี้ ก็ไม่เกี่ยวกับแถลงการณ์ร่วม เพราะเป็นคดีเกี่ยวกับการตีความคำตัดสินของศาลโลก ที่เกิดขึ้นเมื่อ 50 ปี ที่แล้ว ซึ่งพวกตนยังไม่เกิดด้วยซ้ำ

***เขมรอาวุธครบมือประชิดชายแดน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ด้าน จ.สุรินทร์ บรรยากาศเริ่มตึงเครียดมากขึ้น หลังทหารไทยพบการเคลื่อนไหวของทหารกัมพูชา พร้อมอาวุธครบมือ จำนวน 80 นาย เดินเท้าชุดละ 40 นาย จาก อ.ปะอ๋อง จ.อุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา เข้ามาวางกำลังประชิดชายแดนไทย ใกล้หลักเขตแดนที่ 17 ช่องปลดต่าง ต.ตะเคียน อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ เมื่อวันที่ 7 ม.ค.ที่ผ่านมา

ล่าสุดวานนี้ (8 ม.ค.) ทหารไทยชุดเฉพาะกิจที่ 2 กองกำลังสุรนารี (กกล.สุรนารี) กองทัพภาคที่ 2 (ทภ.2) ได้มีคำสั่งไปยังหน่วยทหารพรานฐานปฏิบัติการไทยชนะ ชุดปฏิบัติการที่ 52 ชุดเฉพาะกิจ กรมทหารพรานที่ 26 กองกำลังสุรนารี กองทัพภาคที่ 2 และเจ้าหน้าที่ป่าไม้เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยทับทัน-ห้วยสำราญ อ.กาบเชิง ระบุว่า ไม่อนุญาตให้ประชาชนชาวไทย และนักท่องเที่ยวเดินทางขึ้นไปท่องเที่ยวยัง จุดชมวิวช่องปลดต่าง ต.ตะเคียน อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ ชายแดนไทย-กัมพูชา เหมือนเช่นทุกวันที่ผ่านมา โดยให้เหตุผลเรื่องความปลอดภัยของประชาชนที่จะเดินทางเข้าไปยังช่องปลดต่าง ซึ่งจะทำให้การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ทหารไม่สะดวก และ เกรงประชาชนได้รับอันตราย

ขณะเดียวกันที่บริเวณชายแดนใกล้กับจุดชมวิวช่องปลดต่าง พบว่า ทหารกัมพูชาได้นำครอบครัว มาปักหลักสร้างบ้านเรือนใกล้กับแนวชายแดนไทยเพื่อหวังให้เป็นโล่มนุษย์เช่นที่เคยเกิดขึ้นที่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านเขาพระวิหาร จ.ศรีสะเกษ มาแล้ว ซึ่งเจ้าหน้าที่ทหารชุดเฉพาะกิจที่ 2 กองกำลังสุรนารี กองทัพภาคที่ 2 ได้ทำหนังสือแจ้งเตือนไปยังฝ่ายทหารกัมพูชาแล้ว แต่ยังไม่มีการดำเนินการรื้อถอน หรือเคลื่อนย้ายออกไปแต่อย่างใด

ส่วนบรรยากาศชายแดนไทย-กัมพูชา ด้าน ปราสาทตาควาย บ.ไทยนิยมพัฒนา หมู่ที่ 17 ต.บักได อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ อดีตสมรภูมิรบระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชาเมื่อต้นปี 2554 พบว่า ยังเป็นปกติประชาชนชาวไทยเดินทางเข้าไปชมปราสาทตาควายอย่างต่อเนื่องเช่นทุกวัน และมีเจ้าหน้าที่ทหารพรานชุดเฉพาะกิจ กรมทหารพรานที่ 26 กองกำลังสุรนารี กองทัพภาคที่ 2 เข้าปฏิบัติหน้าที่อยู่บริเวณปราสาทตาควาย ขณะที่เจ้าหน้าที่ทหารกัมพูชาได้จัดกำลัง เข้าเวรปฏิบัติหน้าที่ประกบเคียงคู่กับทหารพรานของไทยตลอดเวลาเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ทหารกัมพูชา ที่ปฏิบัติหน้าที่บริเวณปราสาทตาควาย ได้ขีดเส้นห้ามไม่ให้ประชาชนชาวไทยเดินผ่านตัวตัวปราสาท เข้าไปในพื้นที่ที่ทหารกัมพูชาระบุว่าเป็นเขตแดนของกัมพูชาทั้งที่อยู่ห่างจากตัวปราสาทไม่ถึง 1 เมตรเท่านั้น และที่ผ่านมาไม่มีการแสดงออกถึงความเข้มงวดและอ้างสิทธิ์ความเป็นเจ้าของพื้นที่ดังกล่าวเช่นนี้มาก่อน แต่เจ้าหน้าที่ทหารพรานไทยและทหารกัมพูชาก็ยังประสานงานกันได้เป็นอย่างดี

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ส่วนที่บริเวณด่านผ่านแดนถาวรไทย-กัมพูชา ช่องจอม -โอร์เสม็ด ต.ด่าน อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ พบว่า บรรยากาศการเดินทางผ่านแดนของชาวไทยและชาวกัมพูชา รวมทั้งนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เพื่อค้าขายและท่องเที่ยว ยังเป็นไปตามปกติ โดยมีเจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองกาบเชิง ,ด่านศุลกากรช่องจอม อ.กาบเชิง ,ทหาร ,อาสาสมัครรักษาดินแดน (อส.) พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.กาบเชิง คอยดูแลความปลอดภัย และอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนและนักท่องเที่ยวอย่างเข้มงวด ตลอดทั้งวัน

**ภาคีโคราชปลุกคนไทยรักษาแผ่นดินเกิด

ด้าน ผศ.ดร.สามารถ จับโจร อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยราชภัฎนครราชสีมา พร้อมด้วยกลุ่มภาคีคณาจารย์ นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ได้ออกแถลงการณ์ เรียกร้องและเชิญชวนพี่น้องประชาชนคนไทยที่รักชาติรักแผ่นดิน ออกมาเรียกร้องและต่อต้าน "คัดค้านอำนาจศาลโลก" พร้อมร่วมกันลงชื่อให้ได้จำนวนมากที่สุด เพื่อคัดค้านการนำกรณีพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชาให้ศาลโลกตัดสิน เพราะไทยไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก มาตั้งแต่ปี 2505

ขอประณามการพยายามร่วมใจยกดินแดนไทยให้กับกัมพูชาของ "โจราธิปไตย" ทางการเมืองทุกเหล่าฝูง ที่มิได้มีจิตสำนึกของความรักชาติหวงแผ่นดินเกิด หวังเพียงเพื่อผลประโยชน์ต่างตอบแทนเท่านั้น ทั้งนี้ อธิปไตยและดินแดนแม้เพียง 1 ตารางนิ้วก็ไม่ควรสูญเสียไป เพราะกษัตรา วีรบุรุษ วีรชนคนของชาติในอดีตที่ผ่านมาได้รักษาไว้ด้วยเลือดเนื้อและชีวิต ในฐานะคนไทยควรมีจิตสำนึก และปลูกฝังความรักชาติรักแผ่นดินให้เป็นแบบอย่างที่ดีแก่อนุชนคนรุ่นหลัง
กำลังโหลดความคิดเห็น