xs
xsm
sm
md
lg

“ปึ้ง” อ้างแพ้คดีพระวิหารแล้วไม่ยอมรับจะถูกแซงก์ชัน เจอถาม “UN ไม่ใช่พ่อ” ชิ่งหนี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล (แฟ้มภาพ)
“ปึ้ง” พลิกลิ้นคดีปราสาทพระวิหาร “ไม่เสีย ก็เสมอตัว” แค่อธิบายถึงผลสุดท้ายของคดี โดยไม่หวังว่าไทยจะชนะ โยน ปชป.-พันธมิตรฯ ต้นเหตุทำให้เรื่องบานปลาย สั่งจัดทีมเป่าหูคนไทยรัฐบาลชุดนี้ไม่ผิด เผย “ปู” เคยคุย “ฮุนเซน” ให้ถอนคดีแต่ไม่ยอม เลอะเทอะหนักยอมรับเฉยพื้นที่ 4.6 ตร.กม.รอบประสาทพระวิหารเป็นพื้นที่ทับซ้อนไม่ใช่ของไทย อ้างถ้าแพ้คดีแล้วไม่ยอมรับจะถูกยูเอ็นแซงก์ชัน แต่พอสื่อซัก “นช.แม้ว” เคยบอก “ยูเอ็นไม่ใช่พ่อ” ถึงกับอึ้งก่อนชิ่งหนี

นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์โจมตีคำพูด “ไม่เสีย ก็เสมอตัว” ในคดีพื้นที่ทับซ้อนรอบประสาทพระวิหารที่ทางกัมพูชาร้องต่อศาลโลกว่า เป็นเพียงการพูดอธิบายความถึงผลสุดท้ายของคดีที่มี 2 ทาง คือ ไม่แพ้ ก็เสมอตัว ซึ่งเป็นผลลัพธ์สุดท้ายที่อยากให้ประชาชนเข้าใจว่าหนีไม่พ้นจาก 2 เรื่องนี้ คือไม่แพ้ก็เสมอตัว

อย่างไรก็ตาม หากศาลโลกตัดสินให้ย้อนกลับไปยึดผลการตัดสินมื่อปี 2505 ถือว่าจบกระบวนการ และจะเป็นเรื่องดีที่จะทำให้เราพูดคุยกับทางกัมพูชาในการบริหารจัดการร่วมกันว่าจะใช้บริเวณนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวในอนาคตได้อย่างไร แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจะมีกลุ่มคนที่พยายามชี้นำสังคมและประชาชนไปอีกทางหนึ่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่พูดแล้วมีแนวโน้มที่จะเชื่อ

ผู้สื่อข่าวถามว่า หากมีผู้ชุมนุมจากคนกลุ่มเดิมที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลก็ไม่น่าจะเป็นปัญหา อยู่ที่การดูแลความสงบของรัฐบาล นายสุรพงษ์กล่าวว่า ตอนนี้รัฐบาลต้องสร้างความเข้าใจ โดยเฉพาะกระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงกลาโหม โดยการประชุมร่วมกับนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 ม.ค.ที่ผ่านมา นายกฯ ได้ให้ตั้งทีมโฆษกที่จะแถลงทุกอย่างร่วมกันให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยตนเองและ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม ต้องคุยกันและตั้งทีมโฆษกขึ้นมาอย่างเร็ว เพราะถ้าต่างคนต่างพูดจะมีการนำไปตีความ อย่างกรณีที่ตนเองพูดไปมีการนำไปตีความคนละเรื่อง

อย่างไรก็ตาม วันนี้กระทรวงการต่างประเทศไม่ได้อยู่นิ่ง ได้จัดทีมขึ้นมาชี้แจงข้อมูล ข้อเท็จจริงต่างๆ ให้ประชาชนเข้าใจ ซึ่งในวันนี้มีการประชุมคณะทำงานชุดใหญ่เรื่องการต่อสู้คดีประสาทพระวิหาร ซึ่งนายวีรชัย พลาศรัย เอกอัคราชทูตไทยประจำกรุงเฮก ทำหน้าที่หัวหน้าทีมฝ่ายไทย ในการต่อสู้ดคีประสาทเขาพระวิหาร ส่วนฝ่ายกัมพูชามีนายฮอร์ นัมฮง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ต่างประเทศกัมพูชา เป็นหัวหน้าทีม ซึ่งการตั้งหัวหน้าทีมได้ทำมาแต่เริ่มต้น ซึ่งตนไม่จำเป็นต้องไปนั่งเป็นหัวหน้าทีม แต่สื่อกลับบอกว่าตนเองทิ้งหน้าที่ ทั้งที่เป็นคนละเรื่องกัน

ผู้สื่อข่าวถามว่า กระทรวงการต่างประเทศต้องเร่งทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่อย่างไร นายสุรพงษ์กล่าวว่า ได้ให้ทางกรมสนธิสัญญาและรองปลัดที่ดูแลเรื่องนี้ สื่อข้อมูลต่างๆ ไม่ใช่เฉพาะในพื้นที่ แต่ให้ประชาชนคนไทยทั่วประเทศได้ข้อมูลที่ถูกต้องเท่าเทียมกันและผลสรุปของแนวทางการต่อสู้คดีจะเป็นอย่างไร หัวหน้าทีมการต่อสู้คดีชี้แจง อย่างกรณีที่ตนพูดว่าผลสุดท้ายคดีนี้จะออกมาสองอย่าง คือ แพ้ กับการกลับไปอยู่ที่เดิม

“ไม่อยากให้สังคมเข้าใจผิดและกล่าวหาว่าผมยอมแพ้ มันไม่ใช่ ผมสู้เต็มที่ และเห็นว่าฝ่ายค้านมักจะคิดแตกต่างและค้านทุกเรื่อง ซึ่งบางครั้งไม่มีเหตุผลก็จะค้าน”

ส่วนผลการต่อสู้คดีไทยแพ้เตรียมรับมืออย่างไรบ้างนั้น นายสุรพงษ์กล่าวว่า ทางกระทรวงการต่างประเทศพร้อมที่จะชี้แจงให้ฟัง หากผลแพ้และเราไม่ยอมรับผลการตัดสิน เราอาจถูกมาตรการคว่ำบาตร (Sanction : แซงก์ชัน) จากองค์การสหประชาชาติหรือยูเอ็น อาจเจอปัญหาอื่นๆ อีกมากมาย ตรงนี้ต้องให้สังคมไทยรับรู้ด้วยกัน เพราะสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นประเทศชาติประชาชนต้องรับพร้อมกัน เรื่องเหล่านี้เคยเกิดขึ้น เราก็ยกตัวอย่างสิ่งที่เคยเกิดขึ้นให้สังคมทราบก่อน

ผู้สื่อข่าวถามว่า ทำไมกระทรวงการต่างประเทศไม่ใช้นโยบายเชิงรุก ทั้งที่มีมิตรประเทศต่างๆ เป็นเพราะเราเฉยเกินไปหรือไม่ นางสุรพงษ์กล่าวว่า เรื่องนี้อยู่ในศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ เป็นการต่อสู้ทางคดีความ และเราพูดมาโดยตลอดการดูแลความสงบในพื้นที่เราร่วมกับทางกัมพูชาที่จะหาแนวทางความสงบในรูปแบบทวิภาคี ซึ่งวันนี้ความสงบได้เกิดขึ้น ไม่มีการปะทะกันแล้วในบริเวณพื้นที่รอบประสาทพระวิหาร หลังศาลยุติธรรมได้ออมาตรการชั่วคราวให้มีการปรับกำลังทหาร แต่คดีความในศาลทางกัมพูชาให้มีการตีความประเด็นเขตแดนเพิ่มขึ้น เพราะการตัดสินในปี 2505 ไม่ได้ตีความเรื่องดังกล่าว ซึ่งเรามองว่ากัมพูชาไม่มีสิทธิที่จะนำเรื่องนี้กลับขึ้นมาใหม่ ยืนยันแนวทางการต่อสู้คดีเราสู้ทุกรูปแบบตามที่ทีมทนายได้ระดมสมองกัน ข้อมูลต่างๆ พร้อม เอกสารมีการเตรียมการรอย่างดี ผ่านการกลั่นกรองคณะทำงานชุดใหญ่ทุกครั้งก่อนนำเรื่องสู่ศาล

ส่วนรัฐบาลจะใช้ความสัมพันธ์ที่ดีพูดกันภายในกับทางกัมพูชาให้ถอนเรื่องเป็นไปได้หรือไม่นั้น นายสุรพงษ์กล่าวว่า นายกฯ พูดตั้งแต่เข้ามารับตำแหน่ง และพูดทุกครั้ง แต่ทางกัมพูชาบอกอยากเห็นคดีความเป็นไปตามรูปคดี เพื่อมีคำตอบให้กับสังคมของเขา

“เรื่องนี้ขึ้นอยู่ในศาลตั้งแต่รัฐบาลที่แล้ว พวกผมเข้ามาทีหลัง อย่ามาโยนภาระว่าเป็นเพราะพวกผม มันไม่ใช่ ถ้าพวกผมเป็นตอนนั้น ยืนยันไม่มีเหตุการณ์อย่างนี้แน่นอน”

ส่วนที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเรียกร้องให้รัฐบาลแสดงจุดยืนรักษาอธิปไตยพื้นที่ทับซ้อนรอบประสาทพระวิหารนั้น นายสุรพงษ์กล่าวว่า พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรรอบประสาทพระวิหาร เป็นพื้นที่ทับซ้อนมาโดยตลอดหลังศาลโลกตัดสินประสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา หากศาลไม่วินิจฉัยเรื่องเขตแดนพื้นที่ดังกล่าวก็ยังเป็นพื้นที่ทับซ้อนเหมือนเดิม

“อะไรที่รัฐบาลทำ ทางพันธมิตรฯ ก็ไม่เห็นด้วย คราวที่แล้วก็เกิดปัญหาเพราะพันธมิตรฯ ไปปลุกระดมคนต่อต้านและประท้วงเขา”

ผู้สื่อข่าวแย้งว่า สิ่งที่พันธมิตรฯ ทำเป็นความพยายามปกป้องอธิปไตยของไทย ที่เป็นพื้นที่ทับซ้อน กลับมองพันธมิตรฯ สร้างเรื่อง นายสุรพงษ์กล่าวว่า 4.6 ตร.กม.เป็นพื้นที่ทับซ้อนอยู่แล้ว จะไปปกป้องอะไร พื้นที่ 4.6 ตร.กม.ศาลไม่ได้ตัดสินเมื่อปี 2505 เรามองเป็นพื้นที่ทับซ้อน และหากคดีนี้จบไม่มีการตัดสินอีก พื้นที่ 4.6 ตร.กม.ก็จะยังเป็นพื้นที่ทับซ้อน แต่ระหว่างรัฐบาลต้องพูดคุยกันว่าจะบริหารจัดการดูแลแบ่งผลประโยชน์อย่างไร ความสัมพันธ์ดีเราพูดกันได้ ส่วนโอกาสที่เราจะเสียพื้นที่ 4.6 ตร.กม.มีมากน้อยแค่ไหนนั้น ขึ้นอยู่กับคำวินิจฉัยของศาล

ต่อข้อถามว่าทีมทนายที่สู้คดีของเราไม่ได้สร้างความมั่นใจอะไรเลยหรือว่าศาลอาจจะยกฟ้องหรือไม่ นายสุรพงษ์กล่าวว่า ตนมั่นใจ แต่ต้องเผื่อใจไว้ เพราะถ้ามั่นใจแล้วเกิดกลับตาลปัตร ศาลวินิจฉัยอีกมุมแล้วจะเป็นอย่างไร เมื่อถามว่า หากประเทศไทยต้องเสียพื้นที่ 4.6 ตร.กม.จริง ใครจะต้องรับผิดชอบ พันธมิตรฯ รัฐบาลนี้ หรือรัฐบาลที่ผ่านมา นายสุรพงษ์กล่าวว่า หากศาลวินิจฉัยตามแนวทางกัมพูชาให้ตีความ เราจะยอมรับคำพิพากษาของศาลหรือไม่ หากเราไม่ยอมรับอะไรจะเกิดขึ้นกับประเทศไทย ทางหัวหน้าทีมทนายสู้คดีและผู้เชี่ยวชาญกระทรวงการต่างประเทศจะชี้แจงให้สังคมได้รับรู้ ประเทศไทย ประชาชนจะเอาอย่างไร พวกตนเอาตาม

ผู้สื่อข่าวถามว่าแนวทางที่บอกว่าจะเอาความเห็นประชาชนทำอย่างไร นายสุรพงษ์กล่าวว่า ตอนนี้ต้องให้ข้อมูล เพื่อให้ประชาชนรับทราบข้อเท็จจริงไปก่อน เมื่อถามว่าเป็นการโยนหินถามทางใช่หรือไม่ นายสุรพงษ์กล่าวว่า ไม่ใช่โยนหินถามทาง แต่วันนี้ต้องชี้แจงให้สังคมไทยเข้าใจว่าถ้าคำตัดสินข้อที่ 1-2-3 ออกมาอย่างนี้อะไรจะเกิดขึ้น

“นักวิชาการ นักวิจารณ์ บางคนไม่เข้าใจ จะวิจารณ์ตามความรู้สึก ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เสียหายมาก การต่อสู้คดีเรามีทีมทนาย ทีมที่ปรึกษาด้านกฎหมาย และมีคณะทำงานชุดใหญ่อีกด้วย”

ผู้สื่อข่าวถามว่า เวลานี้มีเรื่องผลประโยชน์เข้ามา ประเทศที่ต้องการตรงกันก็พยายามเข้าไปหนุนทำให้เราเสียเปรียบ นายสุรพงษ์กล่าวว่า ฝ่ายค้านพยายามหยิบยกพื้นที่ทับซ้อนและอ้างว่าทางอเมริกา จีนจะเข้ามา ซึ่งมันไม่เกี่ยว เรื่องเขาพระวิหารเป็นเรื่องเก่าและสิ่งที่เกิดขึ้น ถ้ารัฐบาลในขณะนั้นมีความสัมพันธ์ที่ดี เรื่องเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้น ขณะเดียวกันสมเด็จฯ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาเคยเปรยกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่าถ้าเป็นรัฐบาลชุดนี้เรื่องนี้ไม่เกิดขึ้นแน่นอน เพราะรัฐบาลนี้ไม่ได้เที่ยวไปทะเลาะกับเขาเหมือนรัฐบาลที่แล้ว

ต่อข้อถามว่าหากศาลโลกตัดสินเป็นไปในทางลบต่อไทย รัฐบาลจะอยู่ต่อไปอย่างไร เพราะเสียแผ่นดินในยุครัฐบาลนี้ นายสุรพงษ์กล่าวว่า วันนี้เขาพยายามใส่ร้ายรัฐบาลทุกรูปแบบ ขนาดตนยังถูกกล่าวหาไปรับจ็อบกัมพูชา ฮั้วกัมพูชา ทั้งๆ ที่ไม่มีเรื่องนี้อยู่ในสมองของตนว่าจะไปฮั้วหรือรับจ็อบ

“ทุกวันนี้ผมยึดประโยชน์ของประเทศชาติประชาชนเป็นหลัก ขอให้ประชาชนเข้าใจอย่างนั้น ไอ้ฝ่ายพันธมิตรฯ ฝ่ายที่คอยจะปลุกปั่น คราวที่แล้วปลุกปั่นสำเร็จมาครั้งหนึ่งแล้ว ล้มรัฐบาลไปได้ก็ด้วยเรื่องนี้ให้ถึงขั้นยุบพรรคไปแล้ว เมื่อไรจะยุติกันเสียที มันไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย และเราก็อยู่กับเขามาตั้งแต่ปี 2505 วันนี้กัมพูชากับเราก็เป็นเพื่อนบ้านกัน ไม่ใช่พอจบแล้วเราจะเอาเลื่อยมาผ่าโลกออกแล้วแบ่งกันอยู่ มันไม่ใช่ มันต้องอยู่ด้วยกัน ดังนั้นต้องทำอย่างไรให้อยู่ด้วยกัน”

ผู้สื่อข่าวถามว่าจุดยืนจะเหมือนกับทหารหรือไม่ที่จะไม่ให้เสียดินแดน นายสุรพงษ์กล่าวว่า ตนไม่ต้องการให้เสียดินแดน ทหารว่าอย่างไรเราก็เอาอย่างนั้น รัฐบาลกับทหารตอนนี้เป็นเอกภาพไปไหนไปด้วยกัน เราไม่มีความคิดที่แตกต่าง เราอยู่ได้ด้วยเหตุผลข้อเท็จจริง ฉะนั้นสบายใจได้เราพูดกันด้วยเหตุผลข้อเท็จจริง และผลออกมาอย่างไรก็ตาม ถามประชาชน ประชาชนต้องชั่งใจร่วมกันกับรัฐบาลถ้าศาลตัดสินมาในทางลบต่อไทย “ผมไม่อยากเห็นสังคมไทยถูกบิดเบือนโดยปากคนไม่กี่ปากและปากที่ไม่เป็นความจริงไม่อยากให้ฟังอย่างนั้น”

ถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เคยพูดว่ายูเอ็นไม่ใช่พ่อ แล้วทำไมวันนี้เราต้องกังวลเรื่องที่ยูเอ็นจะแซงก์ชันด้วย นายสุรพงษ์ถึงกับหยุดพูดแล้วก็หัวเราะ พร้อมกับพยายามจะพูดต่อ แต่ก็หมุนตัวเดินหนีจากวงสื่อมวลชนไป


กำลังโหลดความคิดเห็น