xs
xsm
sm
md
lg

พธม.เตรียมยื่น “ปู” ปฏิเสธอำนาจศาลโลก ลั่นหากเฉยถือว่าจงใจขายชาติ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“พันธมิตรฯ” เตรียมยื่นหนังสือถึงนายกฯ 8 ม.ค. เรียกร้องรัฐบาลไทยประกาศไม่ยอมรับอำนาจศาลโลกตีความคดีพระวิหารยกดินแดนให้กัมพูชา พร้อมย้ำไม่ต้องฟังคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ไล่ชุมชนกัมพูชาพ้นพื้นที่ 4.6 ตร.กม. เร่งช่วย “วีระ-ราตรี” พ้นคุก ลั่นหากไม่ปฏิบัติตาม แถมยังกล่อมประชาชนให้จำนนความพ่ายแพ้ ถือว่ามีเจตนาขายชาติขายแผ่นดิน ทุกรัฐบาล ขรก.และผู้นำกองทัพ ต้องร่วมรับผิดชอบการสูญเสียดินแดนครั้งนี้

 คลิกที่นี่ เพื่อฟัง พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แถลงการณ์  

เมื่อเวลา 12.00 น.วันนี้ (4 ม.ค.) นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ แกนนำรุ่นที่ 2 และโฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้อ่านแถลงการณ์ภายหลังจากการประชุมแกนนำพันธมิตรฯ ที่บ้านพระอาทิตย์ ดังนี้

แถลงการณ์ฉบับที่ 1/2556
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
เรื่อง
เตรียมพร้อมรับมือวิกฤตชาติ

ตามที่ได้การประชุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยทั่วประเทศ เมื่อวันที่ 10
มีนาคม พ.ศ. 2555 ณ สวนลุมพินี พี่น้องประชาชนได้มีฉันทานุมัติเห็นชอบเป็นมติในการเคลื่อนไหวมวลชนปรากฏเป็นแถลงการณ์ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาชนเพื่อประชาธิปไตยฉบับที่ 2/2555 ภายใต้เงื่อนไข 3 ประการ คือ


1. มีการดำเนินการใดๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือออกกฎหมายอื่นใดที่มีความชัดเจนว่าจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือลดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์

2. มีการดำเนินการใดๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือออกกฎหมายอื่นใด ที่มีความชัดเจนว่าจะนำไปสู่การนิรโทษกรรมให้กับนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร และพวก

3. เมื่อเหตุการณ์บ้านเมืองเข้าสู่สถานการณ์ความเหมาะสมที่ประชาชนต้องการการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยครั้งใหญ่

ภายใต้เงื่อนไข 3 ประการดังกล่าวข้างต้นเกิดขึ้นเมื่อใด พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะแจ้งให้ทราบและพร้อมจัดให้มีการชุมนุมใหญ่โดยทันที ดังนั้น ไม่ว่ารัฐบาลจะใช้เล่ห์เพทุบายจัดในรูปแบบหรือพิธีกรรมใดเพื่อนำไปสู่เงื่อนไขใดเงื่อนไขหนึ่ง หรือหลายเงื่อนไขรวมกัน พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยขอยืนยันว่าจะเคลื่อนไหวคัดค้านอย่างถึงที่สุด




อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ประชาชนและสื่อมวลชนได้ให้ความสนใจต่อท่าทีของรัฐบาลซึ่งได้พยายามเร่งประชาสัมพันธ์เพื่อให้คนไทยยอมรับอำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ และเตรียมความพ่ายแพ้ในการตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารเมื่อปี พ.ศ. 2505 นั้น ต่อกรณีดังกล่าว พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้เคยออกแถลงการณ์ 4 ฉบับ ในวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 เพื่อแสดงว่าภาคประชาชนได้ต่อสู้มาอย่างยาวนานอย่างไร และประสบผลสำเร็จอย่างไร อีกทั้งได้หาทางออกเอาไว้แล้ว ได้แก่ ฉบับที่ 3/2554 เรื่อง “ภาคประชาชนได้ต่อสู้เรื่องอธิปไตยและดินแดนอย่างเต็มที่สุดความสามารถแล้ว” ฉบับที่ 4/2554 เรื่อง “ทหารของจอมทัพไทยยังไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเองในการรักษาอธิปไตยของชาติ” ฉบับที่ 5/2554 เรื่อง “บทพิสูจน์ความล้มเหลวของรัฐบาลประชาธิปัตย์ในการใช้ MOU 2543 และจะเสียดินแดนต่อไปเพราะรับอำนาจศาลโลก” และฉบับที่ 6/2555 “ขอให้รัฐบาลชุดต่อไปปกป้องอธิปไตยของชาติ” (อ่านรายละเอียดแถลงการณ์พันธมิตรฯ ฉบับที่ 3/2554, 4/2554, 5/2554 และ 6/2554)

การแถลงการณ์ในครั้งนั้น พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ประกาศแจ้งให้ทราบว่า การเริ่มต้นความเสียเปรียบในมาตรการคุ้มครองชั่วคราวนั้นจะนำไปสู่การเสียดินแดนต่อไปในอนาคตอย่างแน่นอน โดยหลังจากนี้หากไทยถลำลึกยอมรับอำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศแล้ว ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศมีแนวโน้มจะตีความให้เป็นคุณต่อกัมพูชาและเป็นโทษต่อประเทศไทยโดยศาลยุติธรรมระหว่างประเทศจะใช้การอ้างอิงกฎหมายปิดปากที่ประเทศไทยไม่ปฏิเสธแผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 ซึ่งจัดทำโดยฝรั่งเศสซึ่งเป็นมูลฐานในการพิพากษาให้ปราสาทพระวิหารตกอยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของกัมพูชาเมื่อ พ.ศ. 2505 ซึ่งจะเป็นผลทำให้ไทยต้องเสียดินแดนอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน และจะเป็นผลทำให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนมรดกโลกได้เป็นผลสำเร็จ และจะเป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำให้ไทยต้องเสียดินแดนเพิ่มเติมต่อไปอีกไม่ต่ำกว่า 1 ล้าน 8 แสนไร่ รวมถึงการสูญเสียซึ่งลามไปถึงทรัพยากรพลังงานทางทะเลในอ่าวไทยซึ่งมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 5 ล้านล้านบาท

เมื่อความผิดพลาดในอดีตของหลายรัฐบาลได้ล่วงเลยมาถึงเวลานี้แล้ว จึงเป็นช่วงเวลาโอกาสสุดท้ายของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะได้รักษาสัจจะของตัวเองตามที่ได้เคยให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 ว่าในฐานะคนไทยคนหนึ่งยืนยันว่าจะต้องทำหน้าที่เพื่อปกป้องอธิปไตย โดยดำเนินการดังต่อไปนี้

ประการแรก ใช้โอกาสสุดท้ายที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice) ได้กำหนดให้มีการนั่งพิจารณาคดี (public hearings) กรณีกัมพูชายื่นคำขอตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารปี 2505 ในวันจันทร์ที่ 15 เมษายน ถึงวันศุกร์ที่ 19 เมษายน 2556 ณ วังสันติภาพ (Peace Palace) ซึ่งเป็นที่ทำการของศาลฯ ที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ โดยขอเรียกร้องให้รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยประกาศอย่างเป็นทางการว่าราชอาณาจักรไทยถือว่าศาลยุติธรรมระหว่างประเทศไม่มีอำนาจในการตีความคดีนี้ และราชอาณาจักรไทยจะไม่รับอำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในการตีความในคดีความนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากการตีความนั้นก่อให้เกิดผลเสียต่ออธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของราชอาณาจักรไทย

ทั้งนี้ เพราะราชอาณาจักรไทยได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาครบถ้วนแล้ว และเป็นที่รับทราบโดยปราศจากการคัดค้าน ทั้งจากราชอาณาจักรกัมพูชา และสมาชิกองค์การสหประชาชาติ อีกทั้งราชอาณาจักรไทยยังได้แถลงประท้วง ไม่เห็นด้วย คัดค้านในคำตัดสินที่ผิดพลาดและอยุติธรรม จึงได้ตั้งข้อสงวนเอาไว้ในการทวงคืนปราสาทพระวิหารในอนาคตหากกฎหมายระหว่างประเทศพัฒนาขึ้น โดยคำแถลงครั้งนั้นไม่ได้มีประเทศสมาชิกในองค์การสหประชาชาติคัดค้านแต่ประการใด ประกอบกับราชอาณาจักรไทยก็ไม่ได้ต่ออายุปฏิญญาการยอมรับอำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศโดยบังคับ มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2505

ประการที่สอง เมื่อราชอาณาจักรไทยไม่รับว่าศาลยุติธรรมระหว่างประเทศมีอำนาจในการตีความแล้ว รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยจึงไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามมาตรการคุ้มครองชั่วคราวของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ไม่ต้องถอนทหารหรือตำรวจตระเวนชายแดนออกจากแผ่นดินไทย และขอให้เร่งผลักดันชุมชนกัมพูชาให้ออกจากแผ่นดินไทย ทั้งนี้ ได้ปรากฏเป็นหลักฐานอย่างชัดเจนแล้วว่าตั้งแต่มีการก่อตั้งศาลยุติธรรมระหว่างประเทศมามีประเทศคู่พิพาทให้ศาลออกมาตรการคุ้มครองชั่วคราว 17 คดี แต่ศาลรับให้ออกมาตรการคุ้มครองชั่วคราว 10 คดี ผลปรากฏว่าจนถึงบัดนี้ยังไม่เคยมีประเทศใดปฏิบัติตามเลยแม้แต่ประเทศเดียว ซึ่งรวมถึงประเทศสหรัฐอเมริกาด้วย ดังนั้น คำสั่งดังกล่าวไม่มีสภาพบังคับแต่ประการใด และหากรัฐบาลไทยยินยอมปฏิบัติถอนทหารออกจากพื้นที่จะถือเป็นประเทศแรกในโลกที่ปฏิบัติตามมาตรการคุ้มครองชั่วคราวทั้งๆที่มีชุมชุนกัมพูชารุกรานเข้ามาอาศัยอยู่บนแผ่นดินของราชอาณาจักรไทย

ประการที่สามให้รัฐบาลไทยเร่งฟื้นฟูและพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศโดยเฉพาะกับประเทศในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติอย่างเร่งด่วน เพื่อเป็นหลักประกันว่าจะไม่มีประเทศใดเข้ามาใช้อำนาจในการละเมิดอธิปไตยของชาติ

ประการที่สี่ อาศัยกฎบัตรสหประชาชาติข้อ 2 วรรค 7 และให้รัฐบาลไทยยืนยันว่าสมาชิกสหประชาชาติไม่มีอำนาจในการแทรกแซงในเรื่องภายในอธิปไตยของราชอาณาจักรไทย และให้รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยยืนยันตามข้อ 2 (ก) และ 2 (ง) แห่งกฎบัตรสมาคมแห่งประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ว่ารัฐสมาชิกอาเซียนจะต้องปฏิบัติตามหลักการในการเคารพเอกราช อธิปไตย ความเสมอภาค บูรณภาพแห่งดินแดน ตลอดจนไม่แทรกแซงกิจการภายในของรัฐสมาชิกอาเซียน

ประการที่ห้ารัฐบาลราชอาณาจักรไทยจะต้องไม่กลับเข้าไปเป็นภาคีอนุสัญญามรดกโลกอีก

ประการที่หก
ให้รัฐบาลไทยหยุดการใช้นักวิชาการ 7.1 ล้านบาท ที่รับจ้างจากกระทรวงการต่างประเทศมาโฆษณาชวนเชื่อในสื่อของรัฐฝ่ายเดียว เพียงเพื่อให้คนไทยยอมจำนนกับการยกดินแดนไทยให้กับกัมพูชา เพราะนักวิชาการเหล่านี้มีจุดยืนอยู่ข้างฝ่ายกัมพูชา และควรเปิดพื้นที่สื่อให้กว้างขวางเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลจากผู้ที่ต้องการปกป้องอธิปไตยของชาติและไม่เห็นด้วยกับนโยบายของรัฐบาลด้วย

ประการที่เจ็ด ให้ช่วยเหลือ นายวีระ สมความคิด และน.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ซึ่งถูกทหารกัมพูชาจับในแผ่นดินไทยแต่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กลับใส่ร้ายว่าถูกจับในแผ่นดินกัมพูชา โดยเร่งรัดดำเนินการให้ทั้ง 2 คนถูกปล่อยตัวออกจากเรือนจำกัมพูชาโดยเร็วที่สุด

ดังนั้น หากรัฐบาลเมื่อทราบทางเลือกแล้วยังไม่ปฏิบัติตาม อีกทั้งยังประชาสัมพันธ์เพื่อให้คนไทยยอมจำนนกับความพ่ายแพ้อย่างอยุติธรรมในเวทีศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ย่อมถือว่ารัฐบาลมีเจตนาขายชาติขายแผ่นดิน จึงต้องเป็นผู้ร่วมรับผิดชอบด้วยหากราชอาณาจักรไทยต้องสูญเสียอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนครั้งนี้ และหากราชอาณาจักรไทยต้องสูญเสียดินแดนในครั้งนี้ จะถือว่าเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทย ที่ราชอาณาจักรไทยต้องเสียดินแดนในรัชกาลปัจจุบัน เพราะการสมรู้ร่วมคิด รู้เห็นเป็นใจ ของนักการเมืองทุกฝ่าย ข้าราชการที่เกี่ยวข้อง และผู้นำกองทัพที่ไม่ทำหน้าที่ในการปกป้องอธิปไตยของชาติตามรัฐธรรมนูญอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน และจะต้องร่วมกันรับผิดชอบในความอัปยศทั้งหมดที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไป

จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้น แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจึงมีมติให้ตัวแทนแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยไปยื่นข้อเรียกร้องดังกล่าวอย่างเป็นทางการต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในวันอังคารที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2556 ในเวลา 10.00 น. ณ ทำเนียบรัฐบาล


ด้วยจิตคารวะ
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
วันศุกร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2556
ณ บ้านพระอาทิตย์

นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า วันนี้มาพบกันในฐานะคนไทย ไม่มีแบ่งพรรคแบ่งพวก คำถามแรกที่ต้องตอบว่าเรามีความปรารถนาที่จะปกป้องอธิปไตยของไทยหรือไม่ ถ้าคำตอบว่ามีก็ให้พิจารณาข้อเท็จจริง ที่เรากำลังจะเสียอธิปไตยบนดินแดนไทยจากผลการทำงานของนักการเมืองทุกพรรค ไม่ว่าพรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ หรือรัฐบาลชุด พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ข้าราชการบางส่วน และผู้นำกองทัพ

ทั้งนี้ โดยสรุปแล้วประเทศไทยเคยยึดถือแผนที่ 1 ต่อ 50,000 ตร.ม. มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่ปี 2543 รัฐบาลชุดนายชวน หลีกภัย โดยผ่านทางนายสุรินทร์ พิศสุวรรณ รมว.ต่างประเทศ และ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร รมช.ต่างประเทศ ขณะนั้น ได้เสนอบันทึกลงนามความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชา หรือ เอ็มโอยู 2543 ซึ่งจัดทำโดยกระทรวงการต่างประเทศและข้าราชการ เพื่อให้รัฐบาลไทยลงนามเห็นชอบ ซึ่งในเอ็มโอยู 2543 ได้วางยาพิษเอาไว้ โดยยอมให้กัมพูชาใช้มาตราส่วนในการจัดสรรดินแดนด้วยมาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ตร.ม. ถือเป็นนัยยะที่สำคัญ

เพราะหากเรายึดถืออัตราส่วนนี้ต่อไป ซึ่งศาลโลกกำลังจะพิจารณาอยู่โดยพื้นฐานของมาตราส่วนนี้ เป็นกฎหมายปิดปากซึ่งเราไม่เคยค้านเรื่องนี้ เมื่อศาลตัดสินว่าพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร 4.6 ตร.กม.เป็นของกัมพูชาแล้ว จะเป็นจุดเริ่มต้นความพินาศของราชอาณาจักรไทย ต่อไปเขาสามารถที่จะใช้หลักฐานว่าในเมื่อไทยยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ตร.ม. ในคำสั่งศาลโลก เขาจะใช้ตีเส้นไปตลอดประเทศไทย เป็นผลทำให้ประเทศไทยสูญเสียพื้นที่อีก 1.8 ล้านไร่ ไม่นับเส้นที่ลากลงไปในทะเล จะทำให้พื้นที่พลังงานที่อยู่ในอ่าวไทย ที่เคยเป็นของไทย 3/4 ส่วน กลายเป็นของกัมพูชา 3/4 และเป็นของไทย 1/4 ซึ่งมูลค่าของพลังงานของไทยมีถึง 5 ล้านล้านบาท

ประการต่อมา เอ็มโอยู 2543 นั้นไม่ได้มีการยกเลิกเลย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ต่อยอดเอ็มโอยู 2543 ด้วยการออกเอ็มโอยู 2544 โดยพื้นฐานของเอ็มโอยู 2543 เพื่อให้มีการวัดเขตทางทะเลขึ้นมา ตราบมาจนถึงรัฐบาลชุด พล.อ.สุรยุทธ์ ก็ไม่มีการยกเลิก ทั้งที่เอ็มโอยู 2543 คือจุดเริ่มต้นของการทำให้ประเทศไทยเสียอธิปไตย ถึงจะคัดค้านอย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศบางคน รับงานประเทศกัมพูชามาในการที่จะเสนอเรื่องราวต่างๆ เหล่านี้ ให้ตกอยู่ในมาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ตร.ม.

มาจนถึงรัฐบาลชุดนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นอกจากไม่มีการยกเลิกเอ็มโอยู 2543 จะด้วยเหตุผลเพราะพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่ลงนามเอ็มโอยู 2543 นอกจากนั้นยังปล่อยให้กัมพูชามาจับนายวีระ สมความคิด และนางสาวราตรี พิพัฒนาไพบูลย์ บนผืนแผ่นดินไทย และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก กลับอยู่นิ่งเฉย ยอมรับไปโดยปริยายว่า พื้นที่ที่กัมพูชามาจับนายวีระและนางสาวราตรีนั้นเป็นพื้นที่ของกัมพูชา ทั้งๆ ที่พื้นที่นั้นปรากฎอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติของประเทศไทย ซึ่งมีพระราชกฤษฎีกาออกมาหลายสิบปีที่แล้ว ตั้งแต่ปี 2505

ด้วยเหตุนี้ กัมพูชาด้วยความร่วมมือของมหาอำนาจและคนไทยขายชาติบางพวก นักการเมืองที่ขายชาติ ตลอดจนผู้บัญชาการทหารบกที่ไม่ทำหน้าที่เป็นทหารปกป้องอธิปไตย ก็ปล่อยให้เกิดกระบวนการให้กัมพูชาดำเนินเรื่องนี้ก้าวเข้าสู่ศาลโลก ทั้งๆ ที่เราไม่ต้องไปศาลโลก เพราะว่าไทยไม่ได้เป็นสมาชิกศาลโลก ศาลโลกเคยมีมาตรการคุ้มครองชั่วคราว 10 ประเทศ รวมทั้งสหรัฐอเมริกา แต่ไม่มีประเทศใดไปทำตามคำสั่งศาลโลก เพราะฉะนั้นการที่นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกฯ รมว.ต่างประเทศ ออกมาพูดในเชิงยอมแพ้ว่ามีแต่เจ๊งกับเจ๊า เป็นการส่อลักษณะของการสมรู้ร่วมคิดกับกัมพูชา และหงายหน้าเพื่อดึงเอาพื้นที่ของไทย และจะมีผลสืบเนื่องไปยังพื้นที่พลังงานในอ่าวไทย ให้ตกเป็นของต่างชาติเสียส่วนใหญ่ ไม่ใช่ของคนไทย

“เพราะฉะนั้น พันธมิตรฯ จึงจำเป็นที่จะต้องออกมาชี้ให้เห็นว่าเรื่องนี้เราได้พูดมานานแล้ว เราได้ขอร้องมานานแล้ว แต่ไม่มีใครสนใจ รัฐบาลชุดพรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่สนใจ พรรคเพื่อไทยก็ไม่สนใจ คำถามมีอยู่ว่าตกลงแล้วในประเทศนี้จะมีใครรักษาอธิปไตยของไทยหรือไม่ หากไม่มีใครสนใจ ประชาชนไม่สนใจ สื่อมวลชนไม่สนใจ ถ้าอย่างนั้นก็ยกประเทศไทยให้ใครก็ได้ที่ต้องการจะรุกล้ำประเทศไทยเข้ามา” นายสนธิ กล่าว

ด้าน พลตรีจำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวว่า วันนี้เราประชุมกันและออกแถลงการณ์ให้ทราบ เพื่อให้ประชาชนหายข้อข้องใจว่า พันธมิตรฯ จะทำอะไรต่อไป ยืนยันว่าที่พิจารณาอย่างรอบคอบและออกแถลงการณ์เป็นทางการ ยังคงความมุ่งหมายเดิม คือไม่ได้ทำเพื่อตัวเองหรือหมู่คณะ แต่ทำเพื่อประเทศชาติเป็นหลักสำคัญที่สุด ขอยืนยันว่าเราจะชุมนุมใหญ่ทันที ในกรณีหรือเงื่อนไขอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายเงื่อนไขผสมกัน ซึ่งจากประสบการณ์ได้เห็นมากับตัวเองว่าการชุมนุมใหญ่ไม่ใช่เรื่องที่สนุก ไม่ใช่เรื่องที่น่ารื่นรมย์เลย ต้องใช้ความทรหดอดทนอย่างยิ่ง และขอเรียนว่าใครที่รักบ้านเมือง ต้องการที่จะปกป้องชาติและราชบัลลังก์ เตรียมตัวให้พร้อมตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

นอกจากนี้ยังกล่าวอีกว่า การที่ไทยจะเสียดินแดนให้กัมพูชา ตั้งแต่ในช่วงที่ผ่านมาจนถึงบัดนี้ หยุดยั้งรั้งหน่วงได้ด้วยภาคประชาชนเท่านั้น ไม่มีส่วนอื่นหนรือหน่วยงานไหนหยุดยั้งได้เลย ยกตัวอย่างเช่นวันที่ 27 ก.ค. 2553 ที่ไปชุมนุมหน้าองค์การยูเนสโก้ ที่จะตัดสินให้ประสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ซึ่งจะทำให้เราต้องเสียดินแดนส่วนหนึ่งให้กัมกัมพูชาทันที ซึ่งผลจากการชุมนุมใหญ่ ตอนเย็นก็เป็นที่แน่ชัดว่ายูเนสโก้ก็ขอเลื่อนการพิจารณาออกไปอีก 1 ปี แทนที่จะตัดสินตอนนั้น ซึ่งไทยก็เสียดินแดนไปแล้ว และการชุมนุม 158 วันเราหยุดยั้งการเสียดินแดนให้กับกัมพูชาได้สำเร็จ เช่น บันทึกผลการประชุมเจบีซีเข้าสภา เราก็ชุมนุมใหญ่หน้ารัฐสภา ประกาศว่าถ้าผ่านสภาจะมีเรื่อง เพราะทุกคนที่นำเข้าผ่านสภาทำความเสียหายให้กับชาติบ้านเมือง กระทั่งรัฐบาลที่แล้วต้องถอนจากสภาฯ

ส่วน นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวว่า ตนเห็นว่า จุดพลิกผันน่าจะเกิดขึ้นเดือนเมษายนที่จะถึงนี้ และปลายปีนี้ ซึ่งจะเป็นการรวมพลังของทุกคนในชาติที่ไม่มีสีมีฝ่ายอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ประการต่อมา ตนเห็นว่าสัญญาณเกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลนายชวน จากกรณีเอ็มโอยู 2543 แล้วมารัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ปรากฏชัดเจนในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ และนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ พร้อมใจกันบอกว่านายวีระและนางสาวราตรีถูกจับในเขตของกัมพูชา สะท้อนว่ามีผลประโยชน์เบื้องหลังอยู่ในการเสียดินแดนครั้งนี้

ทั้งนี้ พื้นที่ 1.8 ล้านไร่ ทั้งบนบกและในทะเล จะเป็นที่สูบทรัพยากรธรรมชาติ คือน้ำมันและก๊าซ โดยสองมหาอำนาจ คือ สหรัฐอเมริกา และจีน ซึ่งตนเห็นว่าการเคลื่อนไหวต้องเบ็ดเสร็จเด็ดขาดและรวดเร็ว ไม่เกิน 1 เดือน นักการเมืองที่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องจะต้องถูกไล่ให้ออกไป การออกแถลงการณ์ในวันนี้ก็เพื่อให้รับรู้ว่า เมื่อบ้านเมืองเข้าสู่สถานการณ์ความเหมาะสมที่ประชาชนต้องการการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ก็ได้มาถึงแล้วตอนนี้












กำลังโหลดความคิดเห็น