หน.ปชป.เตือน รมว.ต่างประเทศ ระวังคำพูดคดีปราสาทพระวิหาร ชี้มีผลต่อรูปคดี โยน “รัฐบาลสมัคร” ยินยอมให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนมรดกโลก อ้างสกัดทุกวิถีทางสำเร็จ ซัดไร้รับผิดชอบโทษเพียงทีมทนายความชุดเดิม ไม่เอาใจใส่สู้คดี ยันอธิปไตยแลกกับความสัมพันธ์เพื่อนบ้านไม่ได้ ไม่วายดื้อตาใสไม่หยุด ออกโรงค้านพันธมิตรฯ ไม่รับคำตัดสินของศาลโลก อ้างกลัวกระทบตัวคดี
วันนี้ (4 ม.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ต่างประเทศ ออกมาระบุในทำนองว่าคดีพิพาทไทย-กัมพูชา ในเรื่องปราสาทเขาพระวิหารมีแต่แพ้กับเสมอตัวว่า อยากให้ระวังการใช้คำพูดเพราะอาจมีผลต่อรูปคดี ซึ่งตนเห็นว่าท่าทีของรัฐบาลมีความสำคัญในการสู้คดี เนื่องจากตลอดปีเศษที่ผ่านมายังไม่เห็นความเอาจริงเอาจังที่จะรักษาสิทธิ์ของประเทศทั้งที่มีการอ้างมาโดยตลอดว่ามีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้นำกัมพูชา แต่ก็ไม่เคยใช้ความสัมพันธ์นั้นเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและคนไทย
นายอภิสิทธิ์กล่าวด้วยว่า การที่รัฐบาลไม่เอาจริงเอาจังทำให้เกิดความไม่มั่นใจว่าจะชนะคดีหรือไม่ นอกจากนี้ยังมีการบิดเบือนข้อมูลโดยพยายามที่จะโยนความรับผิดชอบให้กับรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งที่สาเหตุที่ทำให้กัมพูชานำเรื่องนี้ขึ้นสู่ศาลโลกก็เพราะใช้สิทธิตามธรรมนูญของศาลโลก เพื่อให้ศาลอธิบายคำพิพากษาเดิมที่เคยตัดสินไปเมื่อปี 2505 ซึ่งในขณะนั้นประเทศไทยเป็นภาคศาลโลก ดังนั้น แม้ว่ารัฐบาลที่แล้วจะไม่ไปขึ้นศาลโลก แต่คดีนี้ก็จะเดินหน้าต่ออยู่ดี เนื่องจากเป็นคดีเก่า และจะเป็นการไต่สวนโดยฟังกัมพูชาเพียงฝ่ายเดียว ซึ่งไม่เป็นประโยชน์กับไทยในการต่อสู้เพื่อรักษาปกป้องอธิปไตย จึงจำเป็นต้องเข้าไปต่อสู้คดี ไม่ใช่เรื่องที่รัฐบาลชุดที่แล้ว อยู่ดีๆ เอาเรื่องไปขึ้นศาลโลกอย่างที่มีการกล่าวหา
นอกจากนี้ ในข้อเท็จจริงที่พยายามกล่าวหาว่ารัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ทำให้สถานการณ์ลุกลามจนกัมพูชาใช้เป็นข้ออ้างนำเรื่องขึ้นสู้ศาลโลกนั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า สถานการณ์ที่ลุกลามเพราะรัฐบาลชุดนายสมัคร สุนทรเวช ไปยินยอมให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกด้วยการออกแถลงการร่วม เป็นการเปิดประตูให้กัมพูชาเดินสายเพื่อให้ได้รับอนุญาตเข้ามาบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทเขาพระวิหารที่เป็นอธิปไตยของไทย รัฐบาลชุดที่แล้วจึงต้องทำทุกวิถีทางสกัดกั้นไม่ให้กัมพูชาประสบความสำเร็จ จึงเป็นเหตุผลว่าตลอด 3 ปีที่รัฐบาลของตนบริหารประเทศ กัมพูชาไม่สามารถทำให้เรื่องนี้คืบหน้าในกรรมการมรดกโลกได้ และไทยสามารถยันเอาไว้ได้ในเวทีมรดกโลก แต่เมื่อรัฐบาลนี้เข้ามา กลับสนับสนุนให้กัมพูชาเป็นเจ้าภาพจัดประชุมกรรมการมรดกโลกเพียงฝ่ายเดียวโดยไม่คัดค้าน จึงต้องติดตามว่าจะมีผลต่อการผลักดันเรื่องการบริหารพื้นที่บริเวณรอบปราสาทพระวิหารให้มีความก้าวหน้าจนกระทบพื้นที่ของไทยหรือไม่
ทั้งนี้ ยังเห็นว่าการที่กัมพูชาพยายามก่อเหตุให้เกิดการปะทะในช่วงปี 53-54 ที่ผ่านมาก็มุ่งหวังให้เรื่องขึ้นสู่ศาลโลกทำให้ไทยไม่มีทางเลือก เพราะเมื่อกัมพูชายิงเข้ามาในพื้นที่ฝั่งไทยก็ต้องตอบโต้ จะให้รัฐบาลชุดที่แล้วอยู่เฉยๆ โดยยินยอมให้ใครเข้ามาบริหารจัดการพื้นที่ในประเทศไทยก็ได้ หรือยอมให้ประเทศเพื่อนบ้านยิงระเบิดเข้ามาใส่ประชาชนคนไทยตามแนวชายแดน เราทำไม่ได้ ก็ต้องปกป้อง จึงไม่มีส่วนใหนที่จะมากล่าวหารัฐบาลที่แล้วว่าปัญหาที่เกิดขึ้น เกิดจากรัฐบาลของตนเพราะที่มาที่ไปชัดเจน ขณะเดียวกัน การต่อสู้ในคดีนั้นรัฐบาลที่แล้วก็ประสบความสำเร็จ เพราะเดิมกัมพูชาขอให้ศาลโลกมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้ไทยถอนทหารออกจากพื้นที่พิพาทเพียงฝ่ายเดียว แต่เราต้อสู้คดีจนศาลสั่งให้ถอนทหารทั้งสองฝ่ายในพื้นที่ ซึ่งครอบคลุม 2 ประเทศตามสันปันน้ำชัดเจน นี่คือความเอาจริงเอาจังของรัฐบาลชุดที่แล้ว
“แต่วันนี้ถ้ารัฐบาลจะยืนยันเพียงแต่ทีมทนายความชุดเดิมรัฐบาลเก่าต้องรับผิดชอบ ถือเป็นการกระทำที่ไร้ความรับผิดชอบที่สุด เพราะถ้าเห็นว่าทีมทนายชุดเดิมทำหน้าที่ไม่ได้ ก็เปลี่ยนไม่มีเหตุผลที่จะต้องใช้ทนายชุดเก่า แต่ปัญหาที่ต้องถามรัฐบาลคือมีความเอาใจใส่เพียงพอหรือไม่ใจการต่อสู้คดี เพราะสมัยตนร่วมประชุมทั้งฝ่ายความมั่นคง กระทรวงการต่างประเทศ และฝ่ายกฎหมาย รวมถึงคนที่เกี่ยวข้องกับงานมรดกโลกตลอดเวลา เพื่อประสานงานว่าการต่อสู้ให้เป็นไปในแนวเดียวกัน แต่รัฐบาลชุดนี้ไม่ได้ทำ อีกทั้งการแสดงออกทุกครั้งที่มีความเกี่ยวข้องต่อพื้นที่ดังกล่าวที่มีความหมายและมีผลต่อคดี รัฐบาลก็ไม่เคยแสดงท่าทีแสดงความเป็นเจ้าของในพื้นที่ที่มีความพิพาทเหมือนที่กัมพูชาทำ ทั้งที่เป็นพื้นที่ของไทย จึงเป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลชุดนี้ที่ต้องต่อสู้คดีอย่างจริงจัง ไม่ใช่พูดว่าไม่มีโอกาสชนะ มีแต่แพ้กับเสมอ รวมทั้งไม่มีสิทธิ์โยนความรับผิดชอบให้คนอื่นด้วย” นายอภิสิทธิ์กล่าว
เมื่อถามว่าตลอดปีเศษที่ผ่านมา ท่าทีของรัฐบาลมีผลดีผลเสียอย่างไรต่อการพิจารณาของศาลโลก นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า มีหลายกรณีที่กัมพูชาแสดงออกเพื่อแสดงสิทธิของตนเอง รัฐบาลชุดนี้ก็ไม่โต้แย้ง อีกทั้งไม่มีการต่อสู้จริงจังในเวทีประชุมมรดกโลกเหมือนรัฐบาลของตนทำ
ผู้สื่อข่าวถามว่า สิ่งที่รัฐบาลทำอยู่เหมือนมาสานต่อแนวทางที่รัฐบาลชุดนายสมัคร สุนทรเวช ทำไว้ด้วยการต่อการสนับสนุนให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนประสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตรงนี้คือที่มาของปัญหาทั้งหมด เพราะรัฐบาลไปแสดงออกเสมือนกับยอมรับที่จะให้กัมพูชาเข้ามาบริหารจัดการพื้นที่รอบประสาทพระวิหาร ตนก็หวังว่ารัฐบาลจะมทำให้เกิดความสุ่มเสี่ยงต่ออธิปไตยของประเทศ ซ้ำรอยรัฐาลสมัคร จึงย้ำมาโดยตลอดว่ารัฐบาลมีหน้าที่ต่อสู้คดีให้ดีที่สุด และอย่ามาคิวด่าจะโยนความผิดให้กับรัฐบาลชุดที่แล้ว โดยอ้างเป็นความต่อเนื่องเพราะขณะนี้รัฐบาลมีอำนาจในการบริหารเต็มที่จึงเป็นความรับผิดชอบในการต่อสู้คดีเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติ อย่างไรก็ตาม เห็นว่าความสนิทสนมของรัฐบาลที่มีต่อผู้นำกัมพูชายังไม่เคยแปลงมาเป็นผลประโยชน์ของประเทศชาติ อีกทั้งตั้งแต่นายกฯ ลงมาก็มีความเคลื่อนไหวตลอดเวลาที่พยายามจะรื้อฟื้นเรื่องการแบ่งปันผลประโยชน์พื้นที่ทางทะเล เพราะผู้เกี่ยวข้องกับรัฐบาลนี้มีความสนใจที่จะประกอบธุรกิจนี้ หากเรื่องนี้เป็นเป้าหมายของรัฐบาลจนกำหนดมาเป็นนโยบายย่อมกระทบต่ออธิปไตยของประเทศ ทำให้การรักษาอธิปไตยในพื้นที่บริเวณดังกล่าวอ่อนแอลง
เมื่อถามว่ากำลังตั้งข้อสงสัยว่ารัฐบาลกำลังเอาพื้นที่ทางบอกไปแลกกับผลประโยชน์ทางทะเลเพื่อผลประโยชน์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐฒนตรีหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า หวังว่าจะไม่เป็นอย่างนั้น แต่รัฐบาลต้องมีความชัดเจนและต้องจริงจังในการต่อสู้คดี เพราะก่อนหน้านี้ พ.ต.ท.ทักษิณก็เคยระบุว่าไทยเสียเปรียบในคดีนี้ ซึ่งเป็นการตอกย้ำว่ารัฐบาลไม่มีความจริงจังในเรื่องนี้ เพราะการเสียเปรียบที่เกิดขึ้นก็มาจากแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา โดยรัฐบาลที่แล้วได้แก้ไขไปเยอะ เพียงแค่รัฐบาลชุดนี้สานต่อและยืนหยัดในจุดยืนอย่างสม่ำเสมอก็จะทำให้การต่อสู้มีความหนักแน่น
“ผมหวังว่าจะไม่มีการสมยอมในเรื่องนี้ เพราะเป็นเรื่องของอธิปไตย ซึ่งบทพิสูจน์ว่ารัฐบาลชุดนี้สมยอมกัมพูชาหรือไม่ คงต้องรอดูท่าทีว่าการต่อสู้คดีเอาจริงเอาจังแค่ไหนอย่างไร และในขณะนี้รัฐบาลมีหน้าที่ต้องพิจารณาว่าผลประโยชน์ของประเทศอยู่ตรงไหน โดยพิจารณาทุกช่องทางโดยไม่ควรพูดล่วงหน้าว่าจะรับหรือไม่รับคำตัดสินของศาลโลก โดยควรศึกษาช่องทางต่างๆ ว่าหากคำพิพากษาออกมาในแนวทางไหนจะต้องทำอย่างไร และไม่จำเป็นต้องประกาศล่วงหน้าเพราะจะมีผลต่อรูปคดี จึงขอเตือน รมว.ต่างประเทศ ที่ระบุว่าต้องปฏิบัติตามคำตัดสินของศาลโลกนั้นเป็นปัญหาที่สะท้อนชัดเจนว่ารัฐบาลไม่มีความจริงจังในการรักษาผลประโยชน์สูงสุดให้กับประเทศชาติ จึงอยากให้ระวังคำพูดและทบทวนท่าทีเสียใหม่” นายอภิสิทธิ์กล่าว
ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ยังไม่เห็นด้วยต่อข้อเรียกร้องของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ให้ไปประกาศล่วงหน้าในวันแถลงปิดคดีว่าจะไม่รับคำตัดสินของศาลโลก เพราะการแสดงออกที่จะมีผลกระทบต่อตัวคดี ส่วนเมื่อผลออกมาแล้วท่าทีควรจะเป็นอย่างไรก็มากำหนดแนวทางได้ แต่ผู้ที่เกี่ยวข้องต้องศึกษาทุกแนวทางเอาไว้ เพราะมีหลายทางเลือกซึ่งรัฐบาลควรจะปรึกษาผู้เชี่ยวชาญกฎหมายด้านต่างประเทศและเตรียมความพร้อมเอาไว้ ส่วนท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ที่ระบุว่าจะปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาลก็เป็นเรื่องปกติ เพราะกองทัพต้องปฏิบัติตามนโยบายอยู่แล้ว แต่รัฐบาลต้องมีความเข้มแข็งในการรักษาอธิปไตย รวมทั้งอยากให้ฝ่ายความมั่นคง กระทรวงการต่างประเทศ ฝ่ายกฎหมาย รวมถึงผู้ที่ดูแลพื้นที่กระตุ้นให้รัฐบาลมีความเข้มแข็งในการต่อสู้ ทั้งนี้เป้นหน้าที่ของกองทัพที่ต้องรักษาอธิปไตยของประเทศ จึงเชื่อว่ากองทัพมีความจริงจัง เพราะเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายและสูญเสียกับการต่อสู้เพื่อพิทักษ์รักษาพื้นที่นี้มายาวนาน และรัฐบาลคงจะมีนโยบายใดๆ ที่กระทบต่ออธิปไตยของชาติไม่ได้ หากมีนโยบายเช่นนั้นก็คงไม่มีใครปฏิบัติได้ พร้อมย้ำว่ารัฐบาลต้องจริงจังกว่านี้ในการต่อสู้คดีเพื่อให้คนไทยและทุกฝ่ายมั่นใจว่าจะสามารถรักษาอธิปไตยในพื้นที่ของไทยได้
“ผมย้ำว่าจะเอาอธิปไตยของประเทศไปแลกกับความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศเพื่อนบ้านไมได้ เพราะการยืนยันหลักอธิปไตยหรือแสวงหาทางออกร่วมกัน ไม่จำเป็นต้องกระทบความสัมพันธ์เสมอไป แต่อย่าไปสร้างปมเงื่อนไขขึ้นมาเองเหมือนกับที่ไปออกแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาในเรื่องมรดกโลก” นายอภิสิทธิ์กล่าว