ASTVผู้จัดการรายวัน – ‘อนุดิษฐ์’ ให้เวลาบอร์ดใหม่ทีโอที 3 เดือนกำหนดKPI 3 เรื่อง ที่สำคัญต้องเร่ง 3G เฟสแรกให้เสร็จและเดินหน้าติดตั้งเฟส 2 อีก 1.5 หมื่นไซต์พร้อมเปลี่ยนชื่อเป็น ‘โครงการโทรศัพท์มือถือยุคใหม่’ ก้าวสู่ 4G LTE ย้ำแค่สานงานต่อไม่น่าล่าช้า พร้อมพลิกแผนการตลาดและพัฒนาปรับปรุงคุณภาพบริการ
น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) กล่าวว่าได้มอบนโยบายให้บอร์ดชุดใหม่ของบริษัท ทีโอที และกำหนดตัวชี้วัดผลงาน (KPI)ให้เร่งดำเนินการให้เสร็จภายในเวลา 3 เดือนใน 3 เรื่องหลักคือ 1.การให้บริการโทรศัพท์มือถือ 3G เฟส1 ที่ยังไม่แล้วเสร็จ โดยเร่งให้ไปดำเนินการติดตั้งสถานีฐานที่เหลือ 1,000 กว่าสถานีฐานให้ครบ 5,320 สถานีฐานโดยเร็ว หลังจากนั้นบอร์ดทีโอทีจะต้องเดินหน้าขยายสถานีฐานต่อทันทีเพื่อรองรับการเปิดให้บริการในส่วนของ 3G เฟส2 ซึ่งจะต้องขยายโครงข่ายถึง 15,000 สถานีฐาน
โดยจะเปลี่ยนชื่อเป็นโครงการโทรศัพท์มือถือยุคใหม่ เนื่องจากจะไม่จำกัดแค่เทคโนโลยี 3G เท่านั้นแต่จะมองไปถึงการให้บริการ 4G (LTE) ด้วย พร้อมทั้งจะสนับสนุนให้ทีโอทีแสวงหาพันธมิตรในทุกด้านทั้งเรื่องความรู้ และการใช้เทคโนโลยีที่เต็มศักยภาพด้วย
‘เราเชื่อว่าบอร์ดชุดใหม่จะใช้เวลาไม่นานในการดำเนินการต่อขยายในส่วนของ3Gเฟส2 เนื่องจากแผนการดำเนินทั้งหมดบอร์ดชุดเก่าทำค้างไว้อยู่แล้วจึงสามารถสานต่อได้ทันที ทำให้ลดระยะเวลาการทำงานลงไปได้’
โดยหากทีโอทีส่งแผน 3G เฟส 2 มาให้กระทรวงไอซีทีเมื่อไหร่ก็จะนำเข้าสู่วาระที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาเห็นชอบทันที ซึ่งจะต้องทำควบคู่ไปกับเสนอแผนรายละเอียดโครงการไปยังสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ด้วย
2. การปรับเปลี่ยนแผนการตลาดที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์ต่อองค์กรในทุกๆส่วน อาทิโทรศัพท์พื้นฐานที่ทีโอทีมีลูกค้ากว่า 3.6 ล้านเลขหมาย จะต้องเร่งสร้างบริการเสริมเพื่อสร้างรายได้ จากปัจจุบันมีรายได้มาจากการบำรุงรักษาเลขหมายเพียงเดือนละ 107 บาทต่อเดือนเท่านั้น ฉะนั้นหากมีบริการเสริมอื่นๆ เชื่อว่าจะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับทีโอทีอย่างแน่นอน และ 3.การนำทรัพยากร หรือโครงข่ายที่มีศักยภาพอย่างธุรกิจอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (บรอดแบนด์) ที่ถือเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้ให้ทีโอทีอย่างต่อเนื่อง นำมาปรับปรุงคุณภาพในการให้บริการ และเพิ่มความเร็วก็จะสามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน
‘ทั้ง 3 เรื่องดังกล่าวไอซีทีต้องการให้บอร์ดทีโอทีเร่งขับเคลื่อนองค์กรภายในเพื่อที่จะสามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา3เดือนที่ตั้งไว้’
ส่วนแผนรองรับหลังสัญญาสัมปทานเอไอเอสสิ้นสุดลงในเดือนก.ย. 2558 นั้นในเบื้องต้นเห็นว่าทีโอทีกำลังศึกษารายละเอียด ซึ่งต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ในการขอใช้คลื่นความถี่ 900 MHz ต่อไป เนื่องจากหากทีโอทีสามารถใช้คลื่นความถี่ย่านดังกล่าวต่อไปอีกระยะหนึ่งในช่วงเปลี่ยนผ่าน จะทำให้ลูกค้าของทีโอทีที่มีอยู่ รวมไปถึงผู้บริโภคและประชาชนไม่ต้องเดือนร้อนในการที่ไม่สามารถติดต่อสื่อสารกันได้ รวมไปถึงการขอใช้คลื่นความถี่ย่าน 2.3 GHz ด้วย
อย่างไรก็ตามคงต้องรอความชัดเจนในการหารือกับคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ก่อน จึงจะสามารถสรุปได้ว่าจะสามารถใช้คลื่นความถี่ดังกล่าวต่อไปอีกกี่ปี ซึ่งในตอนนี้ยังไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด เนื่องจากทีโอทีเพิ่งจะได้บอร์ดชุดใหม่ อีกทั้งกระทรวงไอซีทีกับกสทช.เองก็มีจุดยืนที่ต่างกันในเรื่องของกฏหมาย แต่อยากให้นึกถึงผลประโยชน์ประชาชนเป็นตัวตั้ง โดยเฉพาะประชาชนกว่า10 ล้านคนที่อาจได้รับผลกระทบ
น.อ.อนุดิษฐ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่ศาลปกครองมีการไต่สวนฉุกเฉิน กรณีผู้ตรวจการแผ่นดิน ยื่นฟ้องสำนักงานกสทช.โดยขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว เพื่อระงับการออกใบอนุญาต 2.1 GHz (3G) ให้กับผู้ชนะการประมูลเมื่อวันที่ 16ต.ค.ที่ผ่านมานั้น ในความเห็นส่วนตัวอยากเห็นศาลพิจารณาคดีดังกล่าวโดยคำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก เพราะหากศาลมีคำตัดสินให้มีการคุ้มครองชั่วคราวขึ้นมา จะทำให้ประชาชนเสียโอกาสในการใช้บริการ3G และประเทศจะต้องรอ3G ต่อไปอีก ซึ่งปัจจุบันประเทศเพื่อนบ้านต่างทยอยเปิดให้บริการ3G กันจะหมดแล้ว
‘ความเห็นส่วนตัวผมอยากเห็นมีการจำหน่ายคดีไปเลย’
น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) กล่าวว่าได้มอบนโยบายให้บอร์ดชุดใหม่ของบริษัท ทีโอที และกำหนดตัวชี้วัดผลงาน (KPI)ให้เร่งดำเนินการให้เสร็จภายในเวลา 3 เดือนใน 3 เรื่องหลักคือ 1.การให้บริการโทรศัพท์มือถือ 3G เฟส1 ที่ยังไม่แล้วเสร็จ โดยเร่งให้ไปดำเนินการติดตั้งสถานีฐานที่เหลือ 1,000 กว่าสถานีฐานให้ครบ 5,320 สถานีฐานโดยเร็ว หลังจากนั้นบอร์ดทีโอทีจะต้องเดินหน้าขยายสถานีฐานต่อทันทีเพื่อรองรับการเปิดให้บริการในส่วนของ 3G เฟส2 ซึ่งจะต้องขยายโครงข่ายถึง 15,000 สถานีฐาน
โดยจะเปลี่ยนชื่อเป็นโครงการโทรศัพท์มือถือยุคใหม่ เนื่องจากจะไม่จำกัดแค่เทคโนโลยี 3G เท่านั้นแต่จะมองไปถึงการให้บริการ 4G (LTE) ด้วย พร้อมทั้งจะสนับสนุนให้ทีโอทีแสวงหาพันธมิตรในทุกด้านทั้งเรื่องความรู้ และการใช้เทคโนโลยีที่เต็มศักยภาพด้วย
‘เราเชื่อว่าบอร์ดชุดใหม่จะใช้เวลาไม่นานในการดำเนินการต่อขยายในส่วนของ3Gเฟส2 เนื่องจากแผนการดำเนินทั้งหมดบอร์ดชุดเก่าทำค้างไว้อยู่แล้วจึงสามารถสานต่อได้ทันที ทำให้ลดระยะเวลาการทำงานลงไปได้’
โดยหากทีโอทีส่งแผน 3G เฟส 2 มาให้กระทรวงไอซีทีเมื่อไหร่ก็จะนำเข้าสู่วาระที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาเห็นชอบทันที ซึ่งจะต้องทำควบคู่ไปกับเสนอแผนรายละเอียดโครงการไปยังสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ด้วย
2. การปรับเปลี่ยนแผนการตลาดที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์ต่อองค์กรในทุกๆส่วน อาทิโทรศัพท์พื้นฐานที่ทีโอทีมีลูกค้ากว่า 3.6 ล้านเลขหมาย จะต้องเร่งสร้างบริการเสริมเพื่อสร้างรายได้ จากปัจจุบันมีรายได้มาจากการบำรุงรักษาเลขหมายเพียงเดือนละ 107 บาทต่อเดือนเท่านั้น ฉะนั้นหากมีบริการเสริมอื่นๆ เชื่อว่าจะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับทีโอทีอย่างแน่นอน และ 3.การนำทรัพยากร หรือโครงข่ายที่มีศักยภาพอย่างธุรกิจอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (บรอดแบนด์) ที่ถือเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้ให้ทีโอทีอย่างต่อเนื่อง นำมาปรับปรุงคุณภาพในการให้บริการ และเพิ่มความเร็วก็จะสามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน
‘ทั้ง 3 เรื่องดังกล่าวไอซีทีต้องการให้บอร์ดทีโอทีเร่งขับเคลื่อนองค์กรภายในเพื่อที่จะสามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา3เดือนที่ตั้งไว้’
ส่วนแผนรองรับหลังสัญญาสัมปทานเอไอเอสสิ้นสุดลงในเดือนก.ย. 2558 นั้นในเบื้องต้นเห็นว่าทีโอทีกำลังศึกษารายละเอียด ซึ่งต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ในการขอใช้คลื่นความถี่ 900 MHz ต่อไป เนื่องจากหากทีโอทีสามารถใช้คลื่นความถี่ย่านดังกล่าวต่อไปอีกระยะหนึ่งในช่วงเปลี่ยนผ่าน จะทำให้ลูกค้าของทีโอทีที่มีอยู่ รวมไปถึงผู้บริโภคและประชาชนไม่ต้องเดือนร้อนในการที่ไม่สามารถติดต่อสื่อสารกันได้ รวมไปถึงการขอใช้คลื่นความถี่ย่าน 2.3 GHz ด้วย
อย่างไรก็ตามคงต้องรอความชัดเจนในการหารือกับคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ก่อน จึงจะสามารถสรุปได้ว่าจะสามารถใช้คลื่นความถี่ดังกล่าวต่อไปอีกกี่ปี ซึ่งในตอนนี้ยังไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด เนื่องจากทีโอทีเพิ่งจะได้บอร์ดชุดใหม่ อีกทั้งกระทรวงไอซีทีกับกสทช.เองก็มีจุดยืนที่ต่างกันในเรื่องของกฏหมาย แต่อยากให้นึกถึงผลประโยชน์ประชาชนเป็นตัวตั้ง โดยเฉพาะประชาชนกว่า10 ล้านคนที่อาจได้รับผลกระทบ
น.อ.อนุดิษฐ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่ศาลปกครองมีการไต่สวนฉุกเฉิน กรณีผู้ตรวจการแผ่นดิน ยื่นฟ้องสำนักงานกสทช.โดยขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว เพื่อระงับการออกใบอนุญาต 2.1 GHz (3G) ให้กับผู้ชนะการประมูลเมื่อวันที่ 16ต.ค.ที่ผ่านมานั้น ในความเห็นส่วนตัวอยากเห็นศาลพิจารณาคดีดังกล่าวโดยคำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก เพราะหากศาลมีคำตัดสินให้มีการคุ้มครองชั่วคราวขึ้นมา จะทำให้ประชาชนเสียโอกาสในการใช้บริการ3G และประเทศจะต้องรอ3G ต่อไปอีก ซึ่งปัจจุบันประเทศเพื่อนบ้านต่างทยอยเปิดให้บริการ3G กันจะหมดแล้ว
‘ความเห็นส่วนตัวผมอยากเห็นมีการจำหน่ายคดีไปเลย’