“องอาจ” ระบุเหตุที่รัฐบาลไม่ฟังเสียงทัดทานรื้อ รธน.ทั้งฉบัแม้แต่พวกเดียวกันเอง เป็นการชี้ชัดว่ามีเป้าหมายล้มล้างคดีต่างๆ ของคนในรัฐบาลในอดีตและปัจจุบัน จี้ตอบคำถามประชาชนจะได้อะไรจากการชำเรา รธน.และ กม.ปรองดอง เรียกร้องหยุดแก้ทั้งฉบับ พร้อมชี้ “ปู” จัดการทุจริตอย่างจริงจัง หลัง GFI เผยไทยติดอันดับ 13 เงินสกปรกไหลออก ปีละกว่าแสนล้าน
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่า ขณะนี้ค่อนข้างชัดเจนว่ารัฐบาลจะเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ โดยจะเริ่มทำประชามติตามความเห็นพ้องต้องกันของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายอุดมเดช รัตนเสถียร ประธานวิปรัฐบาล และรัฐบาลด้วยกันเอง โดยไม่ฟังเสียงทักท้วงของใคร แม้แต่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นคนในรัฐบาลด้วยกันเอง หรือนางสดศรี สัตยธรรม กกต. หรือนายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา ที่เสนอให้แก้ไขเป็นรายมาตรา
อย่างไรก็ตามการที่รัฐบาลไม่ฟังเสียงทักท้วงแบบนี้เพราะรัฐบาลมีวัตถุประสงค์ที่เหนือกว่าคือหาทางล้มล้างคดีต่าง ๆของคนในรัฐบาลปัจจุบันและอดีตรัฐบาล ดังนั้นจึงอยากเรียกร้องรัฐบาลว่าควรจะปล่อยให้สถานการณ์บ้านเมืองให้นิ่งสงบและฟังเสียงทักท้วงที่เห็นว่าจะมีปัญหาเกิดขึ้น สิ่งที่รัฐบาลไม่เคยตอบคำถามว่าเหตุใดจึงเอาจริงในการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับและกฎหมายปรองดองและนิรโทษกรรม ว่าประชาชนจะได้ประโยชน์อะไร ชีวิตความเป็นอยู่จะดีขึ้นอย่างไร
นายองอาจ กล่าวว่า ต้องขอบคุณรัฐบาลที่แสดงความเป็นห่วงว่าพรรคประชาธิปัตย์จะทำผิดกฎหมายเกี่ยวกับการทำประชามติ ในมาตรา 43 ต้องบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วงว่าเราจะคว่ำการทำประชามติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 165 และพ.ร.บ.การออกเสียงประชามติ 2552 อย่างเด็ดขาด เราจะใช้สิทธิตามที่กฎหมายกำหนด คือ 1.ออกไปใช้สิทธิโดยเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับหัวข้อที่คณะทำงานกำหนดขึ้น และ2.สงวนสิทธิ์ประชาชนที่จะออกไปใช้สิทธิหรือไม่ออกไปใช้สิทธิ เพราะถือเป็นสิทธิพื้นฐานของประชาช
นายองอาจ กล่าวว่า การที่รัฐบาลอ้างความจำเป็นรวมทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ พูดผ่านทนายความว่า หากแก้ไขรายมาตราจะเป็นการผิดสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนที่ให้ไว้ในขณะหาเสียงเลือกตั้ง ถือว่าพูดไม่จริง เป็นการพูดความจริงครึ่งเดียว เพราะหลายเรื่องที่ได้หาเสียงก็ไม่ได้ทำตามนั้น หรือไม่ได้ทำเลยก็มี ดังนั้นจึงเป็นการพูดเพื่อประโยชน์ฝ่ายตนเพียงอย่างเดียว
ทั้งนี้ พรรคเห็นว่ารัฐบาลควรจะทุ่มเทเวลาแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนมากกว่าโดยขอเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการ 2 แนวทาง คือ 1.ควรหยุดกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ 2.หากเห็นว่ามาตราใดเป็นอุปสรรคต่อการบริหารราชการแผ่นดินและเป็นเรื่องที่เกิดประโยชน์กับประชาชน ก็ควรจะเสนอต่อประชาชนว่าจะเห็นด้วยที่จะให้แก้ไขหรือไม่ ทั้งนี้รัฐธรรมนูญเป็นของร้อน รัฐบาลไม่ควรเล่นกับไฟ แต่กลับต้องดับไฟที่จะเกิดขึ้นกับบ้านเมือง
นายองอาจ ยังกล่าวถึงกรณีที่นายเรย์มอนด์ เบเกอร์ ประธานองค์การเพื่อความซื่อสัตย์ มั่นคงทางการเงินแห่งโลก (GFI) ยืนยันว่ามีเงินสกปรกไหลออกจากประเทศต่างๆไปสู่ประเทศที่พัฒนาแล้วรวมถึงเกาะต่างๆที่เป็นสวรรค์แห่งการฟอกเงิน ซึ่ง 1 ในเกาะที่อยู่ในรายงานนี้เคยมีชื่อพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย พร้อมยังได้ระบุว่า ประเทศไทยติดอันดับที่ 13 โดยเงินที่ไหลออกมาจากการก่ออาชญากรรม การเลี่ยงภาษี และการทุจริตคอรัปชั่น ทั้งนี้ตั้งแต่ปี 2543-2553 เงินสกปรกเหล่านี้ ไหลออกนอกประเทศปีละ199,206 ล้านบาท รวม 10 ปี เป็นจำนวน 1,992 ล้านล้านบาท
นายองอาจ กล่าวว่า เงินสกปรกจะดำเนินการโดยใครก็ตาม แต่เงินที่ทุจริตของนักการเมืองต้องยอมรับว่าเกิดจากนักการเมืองที่เลวร่วมมือกับข้าราชการที่มีโอกาสโกงกินกอบโกยไปแล้ว ก็จะนำกลับประเทศเพื่อยึดอำนาจกลับมาสู่มือตัวเองได้ภายหลัง ดังนั้นเป็นภาระที่รัฐบาลจะต้องดำเนินการโดยขอเรียกร้องไปยังนายกรัฐมนตรีให้เอาจริงเอาจังกับการปราบปรามการทุจริต คือ
1.นายกฯและรัฐมนตรี และรัฐมนตรีในครม.ต้องเป็นแบบอย่างที่ดีในความซื่อสัตย์สุจริต 2.หากพบว่ามีการทุจริตหรือส่อทุจริตก็ต้องจัดการกับบุคคลที่เกี่ยวข้อง เพื่อไม่ให้เป็นแบบอย่าง หากเป็นคนในรัฐบาล แม้ทางกฎหมายจะเอาผิดในทางกฎหมายไม่ได้ ก็ต้องจัดการในเชิงบริหาร 3.ขจัดเงื่อนไขและอุปสรรคในการป้องกันและปราบปราบการทุจริตคอรัปชั่น โดยนายกฯจะต้องมองว่าเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศที่จะต้องแก้ไข