อำมาตย์สู้แล้วรวย เอาคืน ปชป.ตั้ง คกก.สอบระบายข้าวย้อนหลัง 3 ปี รบ.“มาร์ค” ส่อทุจริต แฉขายข้าวผ่านโทรศัพท์ พร้อมผ่านมติ ครม.ชงต่อ กขช.มี “อภิสิทธิ์-ไตรรงค์” คุม ก่อนขายให้เอกชนชื่อซ้ำเกือบ 5 แสนตัน โดย พณ.ผ่านรอง ปธ.กขช.อย่างไว แถมมีเจ้าอื่นร่วมด้วยกว่า 3 ล.ตัน ชี้ซื้อราคาต่ำกว่าตลาด เอี่ยวนักการเมือง ยันขัด ครม.อ้างพรรคร่วมไม่ได้ เล็งยืน ป.ป.ช.ฟัน-เผย พณ.ทำเอ็มโอยูร่วมโลตัส กระจายพืชผลเกษตร-สินค้าโอทอป เล็งถกบิ๊กซี ร่วมโครงการต่อ
วันนี้ (16 ธ.ค.) ที่พรรคเพื่อไทย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ แถลงว่า กระทรวงพาณิชย์ ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบการระบายข้าวของกระทรวงพาณิชย์ ย้อนหลัง 3 ปี โดยมีปลัดกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน ซึ่งหลังจากมีการตั้งคณะกรรมการ มีข้อมูล เอกสารหลักฐานต่างๆ หลายประเด็น ว่า การระบายข้าวช่วงเวลาที่ผ่านมีความชอบมาพากลอย่างไร โดยการระบายข้าวของรัฐบาลชุดที่แล้ว เป็นการระบายแบบมหัศจรรย์ เต็มไปด้วยความซับซ้อน ไม่น่าเชื่อว่า การระบายข้าวสต๊อกรัฐบาลจะมีการเจรจากันทางโทรศัพท์เท่านั้น ซึ่งในการเจรจาก็เป็นหน้าที่ของอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศเจรจากับเอกชน ซึ่งการระบายข้าวและผลิตผลทางการเกษตร ก็จะเป็นความเห็นชอบของรัฐมนตรีพาณิชย์เท่านั้น
นายณัฐวุฒิ กล่าวต่อว่า รัฐบาลที่ผ่านมา เรื่องข้าวหลังจากรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบแล้ว จะต้องนำเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ซึ่งมี นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี เป็นรองประธาน และ นายอภิสิทธิ์ เป็นประธานในขณะนั้น เห็นชอบมาด้วย ซึ่งก็ทำถึงขนาดที่ว่า มีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ด้วยการระบายข้าว เมื่อวันที่ 18 พ.ค.53 ระบุชัดว่า การระบายข้าวในรูปแบบจีทูจี จะต้องทำในระยะเวลาที่เหมาะสมและระมัดระวัง ครั้งละไม่เกิน 3 แสนตัน และจำหน่ายต่อเอกชนไม่เกิน 1 แสนตัน และ กขช.ต้องรับทราบ
ทั้งนี้ สิ่งที่น่าสังเกต เรื่องนี้เป็นวาระทราบจรเรื่องที่ 5 แต่เมื่อผ่าน ครม.มีการระบุหมายเหตุไว้ชัดว่า ครม.ได้หยิบยกเพื่อพิจารณาแสดงว่า มีการพูดคุยหารือครบถ้วนในที่ประชุม พอเป็นมติครม.18 พ.ค.53 ปรากฏว่า การระบายมีการกระทำขัดมติ ครม.อย่างชัดเจน โดยการขายข้าวให้กับบริษัทเอกชน ซึ่งก็เป็นบริษัทชื่อซ้ำๆ จำนวนทั้งหมด 11 ครั้ง มีการขายให้ภาคเอกชน สูงสุด 457,814 ตัน และลดลงมาเกินกว่า 1 แสนตัน รวมทั้งสิ้น 11รายการ และเชื่อว่า มีการต่อรองราคาโดยกระทรวงพาณิชย์ และอนุมัติจากพาณิชย์ ไปสู่ นายไตรรงค์ ซึ่งกรอบระยะเวลาเป็นไปอย่างรวดเร็ว ไม่ปรากฏว่า มีการทบทวนหรือชะลอแต่อย่างใด
นอกจากนี้ บริษัทต่างๆ เวียนกันไปมา รวม 2,731,543 ตัน และบริษัทเอกชนบางราย สามารถสั่งซื้อข้าวจากรัฐบาลได้โดยใบสั่งซื้อใบเดียว โดยราคาต่ำกว่าในตลาด และสามารถที่จะเป็นเจ้าของโควตาสั่งซื้อข้าวมากเป็นพิเศษกว่าเอกชนทุกราย และเรื่องนี้เชื่อมโยงกับนักการเมืองชัดเจน และเรื่องนี้พรรคประชาธิปัตย์ จะอ้างง่ายๆ ไม่ได้ว่า เป็นเรื่องของพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งเรื่องนี้ตนจะรวบรวมหลักฐานทั้งหมด นำเสนอต่อ ป.ป.ช.ในสัปดาห์หน้า
“เรื่องนี้จงใจปฏิบัติขัด ครม.และเป็นการรู้เห็นเป็นใจทั้งหมด ตั้งแต่นายอภิสิทธิ์ จนถึงนางพรทิวา นาคาศัย พรรคภูมิใจไทย ทำเองไม่ได้ ต้องให้ประชาธิปัตย์เห็นชอบ ส่วนรายละเอียดอื่นๆ คณะกรรมการกระทรวงพาณิชย์จะแถลงให้ทราบในสัปดาห์หน้า” นายณัฐวุฒิ กล่าว
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ยังกล่าวว่า ตนได้รับมอบหมาย ให้ดูแลราคาพืชผล โดยเฉพาะพืชผักผลไม้ ซึ่งในวันพรุ่งนี้ (16 ธ.ค.) ตนจะได้ลงนามเอ็มโอยู ระหว่างกระทรวงพาณิชย์ กับผู้ประกอบการห้างสรรพสินค้า คือ โลตัส เราได้เจรจากับโลตัส เอาข้อมูลปฏิทินผลผลิตพืชผลทางการเกษตรมาเป็นข้อมูลพื้นฐานประเมิน สถานการณ์เป็นรายปี ว่า ช่วงเดือนไหน ผลผลิตชนิดใดออกมาปริมาณมากและกระทบ ล้นตลาดหรือราคาตกต่ำ จะเอาพืชผลเหล่านั้นเข้าไปในโลตัส เพื่อกระจายพืชผลการเกษตรไปถึงผู้บริโภคอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการซื้อเพิ่มขึ้นจากที่เดิมถึง 45 เปอร์เซ็นต์ รวมทั้งสิ้น 120,000 ตัน และจะซื้อ เนื้อหมู ไข่ไก่ จากเกษตรกร ถ้าหากมีปัญหาเรื่องสภาพราคา
ทั้งนี้ จะมีการเปิดพื้นที่ของโลตัส ในสาขาสำคัญทั่วประเทศให้สินค้าสหกรณ์และสินค้าโอทอป ไปวางจำหน่ายในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งเป็นข้อตกลงในการจัดการราคาพืชผักผลไม้ ซึ่งมีแผนรองรับชัดเจน หลังจากนี้ เราก็จะเจรจา บิ๊กซี ในวันพุธ (19 ธ.ค.) โดยโครงการนี้ ตั้งชื่อ โครงการ “ลูกไม้หล่นไม่ไกลห้าง” คาดหวังว่า ภายใต้มาตรการนี้ ตลอดทั้งปี 56 ปัญหา ผลไม้ ผัก น่าจะหมดไปหรือเบาบางลงที่สุดเท่าที่จะทำได้ และจะมีการเจรจากับที่อื่นๆ ต่อไป