ผ่าประเด็นร้อน
หลายคนคงนึกไม่ถึงว่าความพยายามในการผลักดันแก้ไขรัฐธรรมนูญของ ทักษิณ ชินวัตร จะเริ่มเบี่ยงเบนทิศทางจนกระทั่งมีแนวโน้มที่ชัดเจนมากขึ้นว่าจะมีการลงประชามติก่อนที่จะมีการโหวตแก้ไขมาตรา 291 ในวาระ 3 เพื่อเปิดทางไปสู่การตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐฉบับใหม่ขึ้นมา
หรือไม่ก็ดำเนินการในแนวทางอื่นนั่นคือจะคว่ำการโหวตดังกล่าว เพื่อจะได้เสนอญัตติแก้ไขใหม่เป็นรายมาตรา ซึ่งตอนนี้ยังไม่ได้ข้อสรุป
แต่ที่ค่อนข้างแน่ชัดแล้วก็คือ จะต้องมีการ “ลงประชามติ” ถามความเห็นประชาชนเสียก่อน ส่วนจะถามแบบไหน ถามอย่างไรต้องมาว่ากันอีกที
และสัญญาณสั่งถอยแล้วมาปรับกระบวนกันใหม่นั้น เกิดขึ้นหลังจากการให้สัมภาษณ์ของนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่เปิดเผยว่า ได้หารือกับพี่ชายคือ ทักษิณ ชินวัตร เรียบร้อยแล้วว่าเพื่อให้เกิดความปรองดอง และต้องการให้บ้านเมืองสงบและเดินหน้า โดยอ้างอิงพระราชดำรัสของในหลวง สรุปความหมายก็คือ ต้องการให้มีการลงประชามติก่อนที่จะดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อไป พร้อมทั้งมอบหมายให้ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี วราเทพ รัตนากร ไปประสานกับฝ่ายสภา รวมไปถึงให้หารือเรื่องข้อกฎหมายรองรับอีกด้วย ซึ่งก็ได้รับการขานรับจากหลายฝ่าย
โดยเฉพาะทางคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก็แอ่นอกรับที่จะทำหน้าที่จัดการในเรื่องลงประชามติ โดยคาดว่าจะใช้งบประมาณไม่เดิน 2 พันล้านบาท
นั่นเป็นท่าทีล่าสุดของฝ่ายทักษิณ ที่ในที่สุดก็ไม่กล้าเสี่ยงเดินหน้าลงมติแก้ไขมาตรา 291 ในวาระ 3 เพื่อตั้ง ส.ส.ร.แล้วยกร่างใหม่ทั้งฉบับ เนื่องจากเห็นว่ามีความเสี่ยงเกินไป เสี่ยงที่จะเกิดแรงต้านรุนแรง เสี่ยงทั้งในแง่กฎหมาย เพราะทางตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยเอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่าหากจะแก้ไขต้องแก้เพียงรายมาตราเท่านั้น และต้องลงประชามติถามความเห็นประชาชนก่อน ซึ่งแน่นอนว่าต้อง “โดน” อยู่แล้วหากยังดึงดันแบบนี้ต่อไป
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจากความเป็นจริงสาเหตุที่ต้องถอยมาปรับกระบวนใหม่ ไม่กล้า “หัก” เหมือนเมื่อก่อน ส่วนสำคัญเป็นเพราะบรรยากาศมันเริ่มเปลี่ยนไปจากเดิมกระแสต่อต้านที่เริ่มตกผลึก อีกทั้งนับวันมีคนรู้ทันมากขึ้นเรื่อยๆ และที่สำคัญผลงานของรัฐบาล “นอมินี” ที่นำโดย ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผ่านมาปีกว่าโดยรวมก็ไม่ได้ดีเด่ แตกต่างจากรัฐบาลชุดก่อนๆ ที่เคยกล่าวหาว่าเป็นพวกอำมาตย์เสียอีก ตรงข้ามถ้าเทียบกับปัจจัยที่มีอยู่อย่างพร้อมเพรียงทั้งเสียงข้างมากในสภา กลไกรัฐที่มีการแต่งตั้งคนของตัวเอง ญาติตัวเองเข้าไปเต็มพิกัด แต่ผลที่ออกมาล้วนน่าผิดหวัง ไม่สมราคาคุย เมื่อเป็นแบบนี้แล้วจะมัวหลับหูหลับตาเชียร์มันก็เกินไป
นอกเหนือจากนี้แม้ว่าจะพยายามปกปิด บิดเบือนกันทุกวิถีทาง แต่กลายเป็นว่ามีแต่ข่าวคราวเรื่องทุจริต ความล้มเหลวจากนโยบายสำคัญออกมาหนาหูทุกวัน และที่สำคัญมีแต่เรื่องราวผลประโยชน์ในหมู่เครือญาติและคนในครอบครัวของทักษิณ ชินวัตร เท่านั้นที่ได้ประโยชน์ ซึ่งก็รวมถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ด้วย ก็ต้องการแก้ไขเพื่อลบล้างความผิดให้เขาเท่านั้น ข้ออ้างเรื่องประชาธิปไตยอะไรนั่นล้วนจอมปลอม เพราะคนอย่างเขาที่ทำมาหากินร่ำรวยมาถึงทุกวันนี้ก็ล้วนมีอานิสงฆ์จากเผด็จการทั้งสิ้น ตลอดชีวิตไม่เคยมีประวัติร่วมต่อสู้กับประชาชนเลยสักครั้งเดียว
ขณะเดียวกัน ในมุมของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีมานานปีกว่า ดูอาการแล้วก็เริ่มสนุก อยากนั่งอยู่ต่อไปแบบนี้นานๆ ไปไหนมีแต่คนพินอบพิเทาผิดไปจากตอนทำธุรกิจบริษัทครอบครัวก่อนหน้านี้ แม้ว่าจะร่ำรวยแค่ไหนก็ตาม แต่รับรองว่าเทียบกันไม่ได้ ซึ่งก็รวมถึงตัว ทักษิณ ชินวัตร ที่กำลังหลบหนีอยู่ต่างประเทศในเวลานี้ด้วย การเป็นเจ้าของรัฐบาล ทำหน้าที่บงการทุกเรื่องอยู่หลังฉาก ก็ยังสามารถทำมาหากิน ทำตัวเป็น “นายหน้าข้ามชาติ” ได้ตลอดเวลา ทุกอย่างมีแต่กำไร
ดังนั้นหากหนทางข้างหน้ามีแต่ความเสี่ยงจะดันทุรังเดินหน้าทำไม เพราะถ้าพลาดพลั้งอีกรอบโอกาสที่จะกระเด็นออกไปนอกประเทศ “แบบยกครัว” ก็เป็นไปได้ไม่น้อย
ทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นจนทำให้ ทักษิณ ชินวัตร ต้องถอย โดยปรับกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่ โดยหันมาใช้วิธีหลังพิงประชาชนมากขึ้นนั่นคือการทำประชามติก่อนแก้ไข ซึ่งแม้ว่านาทีนี้ยังไม่ชัดเจนว่าจะให้ลงประชามติกันแบบไหน เป้าหมายให้แก้ไขทั้งฉบับหรือเฉพาะบางมาตรา แต่ถ้าพิจารณากันแบบเฉพาะหน้าก็มองเห็นได้ไม่ยากสาเหตุเป็นเพราะบรรยากาศมันเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด แรงต้านยังเหนียวแน่นและตกผลึก รู้ทันว่ามีแต่นักการเมืองและ ทักษิณ เท่านั้นที่ได้ประโยชน์ ขณะที่ ยิ่งลักษณ์ ก็ยังต้องการนั่งเก้าอี้นายกฯไปนานๆ ก็ในเมื่อเริ่มสนุก จะไปเสี่ยง “หัก” ให้เสียวทำไม!!