ผ่าประเด็นร้อน
ไม่น่าเชื่อว่าบ้านเมืองของเราจะเละตุ้มเปะได้ถึงเพียงนี้ เละเพราะกระบวนการยุติธรรมไม่ได้ถูกบังคับใช้อย่างเท่าเทียมยุติธรรม ปรากฏการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นและมีแนวโน้มหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ ทำให้พิจารณาสรุปได้ทันทีว่านี่คือความ “ไร้มาตรฐาน”ไม่ใช่สองมาตรฐานอย่างที่บางฝ่ายนำมาเล่นลิ้นบิดเบือน
กรณีการถอดยศ “พันตำรวจโท”ของ ทักษิณ ชินวัตร ได้ถูกนำมาพูดถึงอีกครั้งในระหว่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลเมื่อวันก่อน โดยมีการนำมาเปรียบเทียบกับกรณีของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ก่อนหน้านั้นได้ถูกรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต ออกคำสั่งถอดยศร้อยตรี โดยอ้างว่าทำผิดระเบียบใช้เอกสารเท็จในการขอเข้ารับราชการทหาร
อย่างไรก็ดี ทางอภิสิทธิ์ได้ใช้สิทธิทางกฎหมายในการฟ้องต่อศาลปกครอง กล่าวหาว่าเป็นการใช้คำสั่งโดยมิชอบ และ พล.อ.อ.สุกำพลก็ไปขึ้นศาลเพื่อรับการไต่สวน ซึ่งนั่นก็แสดงให้เห็นว่า ทั้งสองฝ่ายใช้ศาลเป็นที่พึ่ง เป็นที่ชี้ขาด และที่สำคัญก็คือ กรณีของอภิสิทธิ์นั้นคดียังไม่ถึงที่สุด ต้องว่ากันไปตามขั้นตอน และแม้ว่าจะรับรู้กันไม่ยากว่านี่คือประเด็นการเมือง แต่ถึงอย่างไรก็ต้องอิงกับเรื่องกฎหมายอย่างเคร่งครัด และพิจารณากันไปตามความเป็นจริง
แต่สำหรับกรณีของ ทักษิณ ชินวัตร ถือว่าคดีได้ถึงที่สุดไปแล้ว เพราะศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้พิพากษาจำคุกเขาเป็นเวลา 2 ปี ในคดีทุจริตซื้อที่ดินรัชดาภิเษก เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2551 โดยเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญหรือที่เรียกกันว่ากฎหมาย ป.ป.ช.มาตรา 100 (1) วรรค 3 มาตรา 122 วรรค 1 ที่เกี่ยวกับความผิดต่อหน้าที่
โดยในคำพิพากษาตอนหนึ่ง ศาลยังได้ระบุถึงเหตุผลที่ไม่รอการลงโทษตอนหนึ่งสรุปความว่า เป็นเพราะจำเลยที่ 1 คือ ทักษิณ ชินวัตร เป็นถึงนายกรัฐมนตรี ได้รับความไว้วางใจให้บริหารราชการแผ่นดิน แต่กลับไม่ทำตัวให้เป็นแบบอย่างตามจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง แต่กลับกระทำผิดเสียเอง
สรุปรวมก็คือ ศาลพิพากษาให้ทักษิณมีความผิด และตามกระบวนการถือว่าคดีถึงที่สุดแล้ว
เมื่อคดีถึงที่สุดแล้วก็ต้องมีพิจารณากันต่อถึงระเบียบการถอดยศสำหรับผู้ที่ยังรับราชการตำรวจและสำหรับผู้ที่พ้นจากราชการตำรวจไปแล้ว จากระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยการถอดยศตำรวจ พ.ศ. 2547 ถือว่าชัดเจนแบบไม่ต้องมีตีความหรือพิจารณากันให้วุ่นวายก็คือ ต้องถอดยศทักษิณสถานเดียว เพราะตามระเบียบบอกว่าต้องคำพิพากษาของศาลถึงที่สุดว่าทุจริตต่อหน้าที่ ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก ต้องหาในคดีอาญาแล้วหลบหนีไป สำหรับผู้ที่ไม่ได้อยู่ในราชการ
เมื่อพิจารณาจากระเบียบดังกล่าว ถือว่าทุกอย่างชัดเจนอยู่แล้ว ต้องดำเนินการตามนั้น หากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องไม่ดำเนินการก็ต้องถือว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ต้องมีความผิด แบบไม่ไว้หน้า ซึ่งก็ต้องไปไล่เบี้ยกันเริ่มมาตั้งแต่รัฐบาลในยุคของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี และ สุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นรองนายกฯที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผู้บัญชาการกองทะเบียนพลในขณะนั้น ต่อเนื่องมาจนถึงรัฐบาลชุดปัจจุบัน ที่นำโดย นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมไปถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และผู้บัญชาการกองทะเบียนพลในปัจจุบัน จะต้องดำเนินการโดยไม่ชักช้า ถ้าไม่ทำก็ถือว่ามีความผิด
ที่ผ่านมาเมื่อเร็วๆ นี้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง กลับกล่าวว่าจะไม่ถอดยศ ทักษิณ แต่จะเพิ่มยศให้เป็นพลตำรวจเอกด้วยซ้ำไป ไม่ว่าจะเป็นการพูดเล่นหรือมีเจตนาใดก็ตาม แต่ก็ถือว่ามีเจตนาท้าทายกฎหมาย หรือการอ้างว่าสาเหตุที่ไม่มีการดำเนินการถอดยศเป็นเพราะ ทักษิณ มีคุณูปการต่อบ้านเมือง รวมทั้งเกรงว่าจะทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย ถือว่าฟังไม่ขึ้น และไม่ควรฟังเหตุผลมักง่ายดังกล่าว เพราะไม่ว่าใครก็ตามถ้าทำผิดกฎหมาย ทำผิดระเบียบก็ต้องดำเนินการ ต่อให้มีบุญคุณแค่ไหนถ้าทำผิดก็ไม่มีข้อยกเว้น
และที่สำคัญก่อนมีการตัดสินความผิดก็มีการเปิดโอกาสให้มีการต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ และเปิดเผย ฝ่ายทักษิณ ก็ยังสามารถใช้เงินจ้างทนายความมาต่อสู้ และหากจำกันได้หลังจากที่มีการสั่งฟ้อง เขาก็หลบหนีออกนอกประเทศ จนกระทั่งมีการเลือกตั้งและพรรคพลังประชาชนของเขาชนะเลือกตั้งได้เป็นรัฐบาลถึงได้กลับมาอย่างมั่นใจด้วยการ “จูบแผ่นดิน” อันลือลั่นไงล่ะ และถ้าจำกันได้เรื่อง “ถุงขนม 2 ล้านบาท” ที่นำมาติดสินบนเจ้าหน้าที่ศาล และต่อมาศาลก็ตัดสินจำคุกทนายความที่เกี่ยวข้องคือ พิชิฏ ชื่นบาน กับพวกเป็นเวลา 6 เดือน และตอนนี้เมื่อพ้นโทษก็ได้เป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทย ยังจำกันได้หรือเปล่า
หรือแม้แต่อ้างว่า ทักษิณ ถูกตัดสินอย่างไม่ยุติธรรม ได้รับแรงจูงใจทางการเมือง ก็ไม่มีสิทธิมาอ้างเพื่อเป็นข้อยกเว้นเป็นอันขาด เพราะไม่เช่นนั้นคำตัดสินของศาลฎีกาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหลังจากคดี ทักษิณ เป็นต้นมาก็ต้องถูกระงับยับยั้งทั้งหมดหรือเหมือนกันหมดอย่างนั้นหรือ ทำไมคนอื่นถึงไม่ยกเหตุผลเดียวกันมาอ้างบ้าง ทำไมคนเหล่านั้นถึงได้ก้มหน้ายอมรับโดยดี
ทำไมคนอย่าง ทักษิณ ชินวัตร ถึงต้องยกเว้น เขาเป็น “อภิสิทธิชน” เป็นเทวดา เหนือกว่าคนอื่นอย่างนั้นหรือ อีกทั้งทำไมต้องมีตีความคำพิพากษากันในภายหลัง ในเมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว และศาลตัดสินให้จำคุกแล้ว ก็ต้องถือว่าเข้าข่ายถูกถอดยศ ไม่เห็นมีอะไรซับซ้อน แต่สาเหตุที่ไม่ดำเนินการเพราะมีเจตนามิชอบช่วยเหลือผู้กระทำผิด ซึ่งในกรณีนี้ถือว่าเป็น “คนพิเศษ” สำหรับรัฐบาล และสำหรับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง กลับยกให้ ทักษิณ เป็น นาย และตัวเองก็ได้ประกาศและทำตัวเสมอ “ขี้ข้า” ถึงได้รีรอไม่ดำเนินการ
ดังนั้น สมควรที่จะต้องมีการดำเนินการให้กฎหมายมีความศักดิ์สิทธิ์ รวมทั้งคำพิพากษาจะต้องได้รับการปฏิบัติตามโดยเสมอหน้า ขณะเดียวกันก็ต้องเอาผิดกับเจ้าหน้าที่ที่ละเว้นอย่างเด็ดขาดด้วย เพราะสาเหตุความวุ่นวายส่วนหนึ่งเป็นเพราะกฎหมายถูกละเลย และนำมาใช้กับคนที่ด้อยโอกาสเท่านั้น!!