รองนายกฯ แจงกรณีไม่ถอดยศ “ทักษิณ” อ้าง สตช.บอกไม่เข้าข่ายเพราะไม่ใช่คดีร้ายแรง ผู้นำฝ่ายค้านโต้คำตอบเป็นเท็จ ชี้กฤษฎีกาตีความแล้ว ยันถูกศาลฎีกาฯ ตัดสินว่าผิดคดีซื้อที่ดินรัชดาฯ ต้องถูกถอดยศ อีกด้านรองนายกฯ ทวงถามใบเสร็จจาก “นิพิฏฐ์” พร้อมปฏิเสธไม่ได้โกง แต่เจ้าตัวยืนกรานไม่ให้เพราะถูกด่าหลักฐานเลื่อนเลย แต่จะให้ ป.ป.ช.ฟันแทน เผยเป็นประธานร่างกฎหมาย ป.ป.ช.ใหม่ ชี้กรณีภรรยาทุจริตให้ถือว่าสามีกระทำด้วย
วันนี้ (27 พ.ย.) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่ออภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ภายหลังที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มอบหมายให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องชี้แจงเรื่องต่างๆ นั้น ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวชี้แจงกรณีการถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีว่า เรื่องการถอดยศ พ.ต.ท.ทักษัณได้มีการพูดมาหลายครั้งแล้ว อย่างไรก็ตาม อยากจะอธิบายให้ทราบกันอีกทีว่า เรื่องเรื่องนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เป็นผู้ดูแลและดำเนินการ ต่อมาเห็นว่ากรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณไม่เข้าข่ายในการถอดยศ เพราะไม่เข้าข่ายความผิดร้ายแรง และกรณีนี้ พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้มีการทุจริตอย่างที่ถูกกล่าวหา และเมื่อไม่นานมานี้ศาลแพ่งได้สอบคดีซื้อขายที่ดินรัชดาฯ แล้ว เมื่อมีการพิจารณาแล้วจึงวินิจฉัยว่าสัญญาการซื้อขายเป็นโมฆะ อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ฝ่ายค้านอาจมีความเป็นในแง่กฎหมายที่ไม่ตรงกัน ทั้งนี้ หากเห็นว่าไม่ถูกต้อง ก็สามารถยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หรือหน่วยงานอื่นๆ ได้
ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า เรื่องนี้ พล.ต.ท.ยงยศ นาคเฉลิม ผู้บัญชาการสำนักงานกำลังพล (ผบช.สกพ.) ได้มีบันทึกถึง ผบ.ตร.ที่น่าสนใจว่า กรณีนี้มีเรื่องของการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะมีการปฏิวัติเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 จึงเห็นสมควรในการระงับเรื่องการถอดยศไว้ก่อน และเมื่อการเมืองเข้าสู่สภาวะปกติแล้วให้นำมาพิจารณาใหม่ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2555 พล.ต.ท.เจตน์ มงคลหัตถี ผู้ช่วย ผบ.ตร. ผู้ปฏิบัติราชการแทน ผบ.ตร.มีคำสั่งไม่ถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยเห็นว่าการที่ พ.ต.ท.ทักษิณกระทำนั้น ไม่เป็นการนำความเสื่อมเสียมาสู่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณยังได้ทำคุณประโยชน์ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติด้วย
จากนั้น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวชี้แจงว่า กรณีที่ ร.ต.อ.เฉลิมพูดนั้นเป็นเรื่องที่พูดเมื่อวันที่ 26 พ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งตนต้องการพูดเพื่อยืนยันว่า กรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เข้าหลักเกณฑ์ที่จะถอดยศได้ และการที่ ร.ต.อ.เฉลิมได้ตอบการอภิปรายของนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ ว่า สตช.ได้ชี้แจงแล้วว่ากรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณไม่เข้าข่ายถูกถอดยศ ซึ่งถือว่าคำตอบเป็นเท็จ ตนจึงต้องนำมาพูดในวันนี้ (27 พ.ย.) และการที่ ร.ต.อ.เฉลิมชี้แจงเรื่องของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตกฎหมาย (พ.ร.บ. ป.ป.ช.) และเรื่องของคณะกรรมการกฤษฎีกาที่ต้องมีการตีความนั้น เหตุใดที่ ร.ต.อ.เฉลิมจึงไม่ใบ้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความ ทั้งนี้เหตุผลที่ สตช.ให้ คือ 1. ไม่ต้องการให้เกิดความขัดแย้ง และ 2. เรื่องนี้ไม่จำเป็นที่ต้องรีบทำ
อย่างไรก็ตาม การที่นายกรัฐมนตรีเป็นประธานคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) ฝ่ายค้านจึงขอแจ้งต่อประธาน ก.ต.ช.ในวันนี้ว่าการวินิจฉัยเรื่องดังกล่าว เข้าข่ายหลักเกณฑ์ตามระเบียบทั้ง 2 เหตุผลหรือไม่ และจะให้เป็นนโยบายต่อตำรวจที่ต้องปฏิบัติหรือไม่ ซึ่งตนอยากทราบนโยบายของประธาน ก.ต.ช.ว่าต่อไปนี้เมื่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสินแล้ว เป็นหน้าที่ของตำรวจที่จะวินิจฉัยว่าศาลฯ มีคำตัดสินที่มีเหตุผลดีหรือไม่ ซึ่งตนจะรอฟังคำตอบจากประธาน ก.ต.ช. และ ร.ต.อ.เฉลิม ใครที่ไม่ใช่ประธาน ก.ต.ช.ก็ไม่ต้องตอบ
ด้าน ร.ต.อ.เฉลิมลุกขึ้นชี้แจงกรณีการถอดยศของ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยอ้างความเห็นของผู้บัญชาการกำลังพลตำรวจ ที่ระบุเหตุผลว่าสาเหตุที่ยังไม่ถอดยศของ พ.ต.ท.ทักษิณ เนื่องจากการพิจารณาถอดยศหรือไม่ถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณนั้นต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะสถานการณ์ของประเทศมีการแตกแยกกันอย่างชัดเจน จากการเคลื่อนไหวของมวลชนกลุ่มต่างๆ ที่เชื่อมโยงไปยัง พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ได้รับผลกระทบจากอำนาจปฏิวัติ อันเป็นที่มาของต้นไม้ที่เป็นพิษและผลก็เป็นพิษเช่นกัน เพราะเมื่อผลพิจารณาไปถึงที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะมีการถอดยศหรือไม่นั้นก็ไม่สามารถสร้างความพอใจให้กับทุกฝ่ายได้
ทั้งนี้ จึงเห็นว่าสถานการณ์ปัจจุบันจึงขอให้หยุดการพิจารณาเรื่องดังกล่าวไปก่อน และเมื่อสถานการณ์กลับมาสู่ภาวะปกติจึงจะนำเรื่องนี้ขึ้นมาพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง และระเบียบของการถอดยศก็ไม่กำหนดระยะเวลาไว้ สามารถดำเนินการได้ตลอด จึงควรรอให้สถานการณ์ในสังคมไทยกลับเข้าสู่ภาวะปกติก่อนจึงค่อยดำเนินการภายหลัง และยังมีความเห็นของ พล.ต.ท.เจตน์ มงคลหัตถี ผช.ผบ.ตร.ปฏิบัติราชการแทน ผบ.ตร.ในเวลานั้น ระบุว่าการที่ พ.ต.ท.ทักษิณถูกศาลฎีกาตัดสินลงโทษเพราะมีส่วนในการลงนามรับรองการซื้อที่ดินย่านรัชดาฯ ของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร ภริยา แต่ไม่มีพฤติกรรมใดที่แสดงถึงความเสื่อมเสียต่อการทำหน้าที่ตำรวจและเป็นคนที่ทำประโยชน์ต่อประเทศชาติจึงไม่จำเป็นต้องถอดยศ
ต่อมานายอภิสิทธิ์ได้ลุกขึ้นกล่าวตอบโต้ โดยยืนยันว่าตนอ่านคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ กี่รอบก็เห็นว่ากรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณเข้าหลักเกณฑ์ ซึ่งการอ้างว่ามีความประพฤติร้ายแรงหรือไม่นั้นเป็นคนละข้อ เพราะต้องไปอ่านในระเบียบว่าต้องจำคุก และกรณีการซื้อขายที่ดินย่านรัชดาฯ ก็ต้องไปดูที่ พ.ร.บ. ป.ป.ช. ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญ ร.ต.อ.เฉลิมจะใช้ตรรกะว่าเมื่อคดีทางแพ่งเป็นโมฆะไปแล้วจะถือว่าไม่มีความผิดทางอาญาไม่ได้ ต้องกลับไปทบทวนให้ดี เพราะคดีแพ่งจะถือคดีอาญาเป็นหลัก และได้ย้ำให้ ร.ต.อ.เฉลิมนำเอกสารที่นำมาอ่านในที่ประชุมนั้น ส่งให้กับทางประธานสภาฯ เพื่อตรวจสอบด้วย เพราะจะได้รู้ว่าเอกสารดังกล่าวถูกนำเอามาจากหน่วยงานใด
จากนั้น ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง และนายวิลาศ จันทรพิทักษ์ ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่ามีการทุจริตคอร์รัปชันในโครงการต่างๆ ของรัฐบาลนั้นก็ขอให้เอาหลักฐานมามอบให้ตน พร้อมปฏิเสธข้อกล่าวหาในการบริหารราชการล้มเหลวปล่อยให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชัน เพราะรัฐบาลตั้งคณะกรรมการกำกับในทุกโครงการ
ด้านนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ตนจะไม่มอบให้เอกสารการทุจริตในโครงการฟื้นฟูน้ำท่วมกับ ร.ต.อ.เฉลิม เพราะบอกว่าหลักฐานเลื่อนลอย แต่จะให้กับคณะกรรมการ ป.ป.ช.เพราะน่าเชื่อถือมากกว่า และอย่าพูดต่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่ทุจริต เพราะกฎหมาย ป.ป.ช.มาตรา 100 มีการแก้ไขกฎหมายใหม่ โดยตนเป็นประธาน และมีการลงในราชกิจจานุเบกษาวันที่ 19 เม.ย. 2554 บัญญัติว่า ในกรณีภรรยากระทำ ให้ถือว่าสามีกระทำในหมวดนี้ให้ถือเป็นการทุจริต ดังนั้นใครก็ตามที่กระทำผิดมาตรานี้ถือเป็นการทุจริต
จากนั้น ร.ต.อ.เฉลิมโต้ว่า นายนิพิฏฐ์ไม่มีสิทธิ์สั่งห้ามตนพูด เพราะขึ้นอยู่แต่ละมุมมองของแต่ละคน การทุจริตคือการแสวงหาผลประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย เพราะกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญศักดิ์สิทธิ์กว่ากฎหมายหลักไม่ได้ แล้วแต่ละมุมมองของแต่ละคน ที่ตนบอก พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้ทำในสิ่งที่ผิดกฎหมาย แต่ทำในสิ่งที่กฎหมายห้าม เพราะในมาตรา 100 คนทั่วไปทำได้ไม่ผิด แต่นักการเมืองทำแล้วผิด