ข่าวปนคน คนปนข่าว
ในภาวะที่ชาติสั่นคลอนเพราะความแตกแยกของคนไทย จากการปลุกปั่นยุยงของนักโทษชายทักษิณ ที่ทำให้คนไทยจำนวนไม่น้อยกลายเป็น “จิ้งหรีด” ถูกปั่นหัวให้กัดกันโดยไม่มีเหตุผล ไม่แม้แต่จะคิดด้วยซ้ำว่า เราคือ “เพื่อนร่วมชาติ” เราคือคนไทย
แต่วันนี้คนกลุ่มหนึ่งไม่เรียกตัวเองว่าคนไทย เพราะพวกเขาภาคภูมิใจกับประชาธิปไตยจากเผด็จการทุนที่กำลังพยายามสยายปีกสร้างอาณาจักรใหม่ให้ “คนเสื้อแดง” มีสิทธิพิเศษมากกว่าคนไทย เรียกว่า จากเดิมที่ชาวบ้านกลัวตำรวจ เดี๋ยวนี้เมื่อตำรวจเห็นบัตรนปช.ของคนเสื้อแดงแล้ว ต้องตะเบ๊ะให้ผ่านทันที โดยไม่ต้องตรวจตรา
บางครั้งบางคราวไปเจอตำรวจ ทำหน้าที่ตรงไปตรงมา จึงมีเรื่องโผล่มาประจานว่า รถที่ติดภาพ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี คนขับมีบัตร นปช.รายนั้น ขนยาเสพติด เช่นเดียวกับกรณีล่าสุดที่เพิ่งจับการ์ด นปช. รายหนึ่งข้อหาลักรถไปขายให้ประเทศเพื่อนบ้าน แต่พอหลักฐานมัดแน่นหนา ว่าแดงแท้ไม่มีทางแถเป็นแดงเทียม คดีก็ยังทำท่าจะพลิก
ซึ่งเชื่อได้เลยว่า พอเรื่องเงียบ การ์ดนปช. รายนี้ก็คงลอยนวล สูดอากาศบริสุทธิ์อยู่นอกคุก และทำอาชีพโจรของตัวเองต่อไป บนความไม่ปลอดภัยของสุจริตชน
รัฐบาลที่มีวิธีคิดบริหารและปกครองบนความแตกแยก ทำให้มวลชนแบ่งฝักแบ่งฝ่าย นับว่าเป็นอันตรายอย่างยิ่งสำหรับบ้านเมือง แต่ความโลภหลงของคนที่ไร้สำนึกรักชาติ มุ่งแต่ผลประโยชน์ ยังกำลังจะชักศึกเข้าบ้าน ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยตกอยู่ในฐานะลำบาก ในมิติด้านความมั่นคงด้านการต่างประเทศอีกด้วย
การมาเยือนไทยของ 2 ผู้นำมหาอำนาจในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน คือ บารัค โอบามา ประธานธิบดีสหรัฐอเมริกา เดินทางมาเยือนไทยระหว่างวันที่ 18-19 พฤศจิกายนนี้ ขณะที่ นายเหวิน เจียเป่า นายกรัฐมนตรีจีน ต่อคิวเยือนไทยแบบหัวบันไดไม่แห้ง คือในวันที่ 20-21 พฤศจิกายนนั้น
ย่อมไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นการประกาศของสองมหาอำนาจยักษ์ใหญ่ ที่กำลังแสดงศักยภาพเหนือภูมิภาคนี้ และทั้งสองประเทศล้วนเห็นว่า ไทยคือจุดศูนย์กลางภูมิภาคที่มีประโยชน์ทั้งยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจ และความมั่นคง
เชื่อว่าเรื่องพวกนี้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี คงไม่เอามาคิดให้รกสมอง แต่สิ่งที่กำลังวนเวียนในหัวกลวงๆ นั้น คือ จะใส่ชุดไหนต้อนรับโอบามา จะใส่กี่เพ้าต้อนรับนายกรัฐมนตรีจีนดีไหม ส่วนผลประโยชน์ของชาติที่อาจได้รับผลกระทบจากการวางท่าทีที่ไม่สมดุลทางการต่างประเทศจะเป็นอย่างไร ไม่ใช่เรื่องของ ยิ่งลักษณ์ ซึ่งมีหน้าที่ออกงาน ใช้เสน่ห์เฉพาะส่งตาหวาน โปรยรอยยิ้ม มอบอัลบั้มภาพส่วนตัวให้ผู้นำประเทศต่างๆ ก็สุดล้ำเลิศแล้ว
คงเป็นชะตากรรมของบ้านเมืองที่ยากจะหลีกเลี่ยงได้ แต่ในฐานะคนไทย เรามีหน้าที่ดูแลบ้านเมืองนี้ ผ่อนหนักให้เป็นเบา ทำไอ้ที่เบาให้หายไปได้ แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องง่ายก็ตาม
สิ่งที่เกิดขึ้นในมิติระหว่างประเทศขณะนี้คือ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ กำลังทำให้ประเทศไทยเสียสมดุลในการวางบทบาท ระหว่างจีนและอเมริกา ซึ่งหากเทียบกันในแง่เศรษฐกิจแล้ว ประเทศจีน คือคู่ค้ารายใหญ่กว่าสหรัฐฯมาก แต่น่าประหลาดใจที่เนื้อหาการหารือระหว่างผู้นำไทยกับผู้นำสหรัฐอเมริกา และจีนนั้น ดูเหมือนว่าจะมีความเป็นรูปธรรมที่จับต้องได้ต่างกันโดยสิ้นเชิง
ในขณะที่ โอบามา กำลังจะคว้าพุงปลามัน ทั้งด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงจากไทยด้วยการออก “แถลงการณ์วิสัยทัศน์ร่วมว่าด้วยการเป็นพันธมิตรด้านการป้องกันประเทศไทย-สหรัฐ 2012” ไม่เพียงเท่านั้น กระทรวงการต่างประเทศยังเตรียมเสนอ “การเข้าร่วมความริเริ่มด้านความมั่นคงเกี่ยวกับการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง (PSI)” ด้วย นอกเหนือไปจาก การประกาศเข้าร่วมเจรจาความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิค (TPP) และ การรื้อฟื้นการประชุมคณะมนตรีภายใต้กรอบความตกลงการค้าและการลงทุนระหว่างไทยและสหรัฐ (TIFA JC) รวมถึงการรื้อฟื้นการเจรจาเอฟทีเอ ด้วย
จะเห็นได้อย่างชัดแจ้งว่า การเดินทางมาไทยครั้งนี้ของ โอบามา มิได้กลับบ้านมือเปล่า แต่คว้าประโยชน์กลับประเทศตัวเอง ด้วยการประกาศศักดาว่า อยู่เหนือประเทศไทยที่พร้อมจะรับใช้ทุกเมื่อ ทันทีที่โอบามา ดีดนิ้วเรียก เหมือนกับที่ ยิ่งลักษณ์ วิ่งแจ้นไปชนแก้วไวน์กับ ฮิลลารี คลินตัน รมว.ต่างประเทศ ถึงกัมพูชามาแล้ว
ส่วนกรอบการเจรจาที่จะเกิดขึ้นระหว่างนายกรัฐมนตรีไทย กับผู้นำจีนนั้น กลับเป็นกำหนดการที่ดูเลื่อนลอย ไม่มีอะไรเป็นเนื้อเป็นหนัง อาทิ มีการแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการส่งเสริมความสัมพันธ์ และความร่วมมือระหว่างไทย-จีน ตามที่ได้ตกลงกันไว้ใน “ถ้อยแถลงร่วมระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีน และราชอาณาจักรไทย ว่าด้วยการสถาปนาความเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน”
รวมทั้งผู้นำทั้งสองประเทศ จะเป็นสักขีพยานการลงนามความตกลงและเอกสารความร่วมมือไทย-จีน เช่น ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษา และการแลกเปลี่ยนสัตยาบันสารความตกลงโอนตัวนักโทษ และจะเข้าร่วมพิธีเปิดศูนย์วัฒนธรรมจีน ในประเทศไทย
ลองเทียบดู วิญญูชนที่มีสติปัญญาย่อมเล็งเห็นว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์ เอียงกะเท่เร่ไปทางสหรัฐอเมริกาค่อนข้างชัดเจน เพราะมีการตีปี๊บ เตรียมถ่ายทอดสดการออกแถลงการณ์ร่วมกัน เพื่ออาศัยภาพโอบามา เสริมบารมีให้ยิ่งลักษณ์ว่า โกอินเตอร์
แต่เบื้องลึกเบื้องหลังการเสริมภาพลักษณ์ให้ผู้หญิงคนหนึ่งนั้น จะต้องแลกด้วยความเสียหายของชาติมากน้อยเพียงใด และจะมีผลประโยชน์ทับซ้อนใดเข้ามาเกี่ยวข้อง จนทำให้สหรัฐอเมริกายอมให้นักโทษชายทักษิณ ที่มีหมายจับในคดีก่อการร้ายเข้าประเทศได้
ที่น่าสนใจคือ ผู้นำของจีนและสหรัฐฯได้รับเกียรติให้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้งคู่ แต่ นายกรัฐมนตรี เหวิน เจียเป่า ยังมีกำหนดการเข้าเยี่ยมคารวะ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีด้วย ส่วนจะมีนัยยะอย่างไร หรือไม่ มิอาจคาดเดา
ท่าทีของรัฐบาลไทย ตั้งแต่กรณีจะให้นาซาใช้สนามบินอู่ตะเภา ไปจนถึงการที่สหรัฐฯ ขอใช้อู่ตะเภา 5 ปี โดยอ้างว่าจะเป็นศูนย์กลางในการป้องกันภัยพิบัติ ซึ่งรัฐบาลไม่เคยให้รายละเอียดใดๆ กับคนไทย ในขณะที่สหรัฐฯ ประกาศนโยบายชัดเจน จะเคลื่อนทหารมาประจำฐานทัพในภูมิภาคนี้ เพื่อคานอำนาจกับจีน และ “อู่ตะเภา” ก็คือเป้าหมาย
“แถลงการณ์วิสัยทัศน์ร่วมว่าด้วยการเป็นพันธมิตรด้านการป้องกันประเทศไทย-สหรัฐฯ 2012” ดูเผินๆ เหมือนไม่มีอะไรที่น่ากังวล แต่ถ้าเราพิจารณาในรายละเอียดที่รัฐบาลในอดีตเคยมีข้อตกลงกับสหรัฐฯ เช่น สนธิสัญญามะนิลา ช่วงสงครามเย็นที่จะป้องกันประเทศร่วมกัน บันทึกช่วยจำกรณีไทยโดนโจมตีสหรัฐฯ จะมาช่วย การส่งกำลังบำรุงร่วมกันในการใช้ฐานทัพอู่ตะเภา น่าจะพอมองออกว่า หัวใจสำคัญที่โอบามาเดินทางมาไทยก็คือ “อู่ตะเภา” นั่นเอง
สิ่งเหล่านี้สังคมต้องร่วมกันตรวจสอบ เพราะจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อความมั่นคง และมิติด้านการต่างประเทศของไทย เพราะเท่ากับว่าไทยให้ความร่วมมือกับสหรัฐฯ ในการสยายปีกแผ่อำนาจทางการทหารมายังภูมิภาคนี้เพื่อปิดล้อมประเทศจีน
ขณะที่ประเทศจีนก็เป็นมหามิตรที่ดีกับประเทศไทยมาโดยตลอด ไม่เคยสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจจากประวัติศาสตร์การเมืองระหว่างประเทศ ไม่เหมือนกับที่สหรัฐฯ เคยทิ้งความเจ็บปวดให้ไทยในสมัยที่สหรัฐฯ รบกับเวียดนาม แต่หลังสหรัฐฯแพ้สงคราม ก็โกยแน่บกลับบ้านเมืองตัวเอง ทิ้งให้ประวัติศาสตร์บันทึกรอยร้าวระหว่างไทยกับเวียดนาม โดยสหรัฐฯไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น
หากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ไม่ตั้งหลักสร้างความถ่วงดุลให้ดีระหว่างไทย-สหรัฐฯ และ ไทย-จีน โดยยึดประโยชน์ชาติ แต่มีวาระซ่อนเร้น หรือผลประโยชน์ทับซ้อน จนไทยสูญเสียดุลยภาพด้านการต่างประเทศกับมหาอำนาจสองประเทศนี้
ก็เท่ากับว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ไม่เพียงแต่กำลังจะขายชาติ ด้วยการสมยอมให้เขมรชนะคดีเขาพระวิหาร ยกพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรให้ ฮุน เซน แลกกับการสูบทรัพยากรทางทะเล ด้วยข้อตกลงที่ไทยเสียประโยชน์ให้กับเขมรแล้ว
ยังจะได้ชื่อว่าเป็น “นารีชักศึกเข้าบ้าน” อีกด้วย