เครือข่ายป้องกันภัยน้ำเมา ค้านรัฐบาลเจรจา TPP กับสหรัฐฯ หวั่นกฎหมายคุมเหล้าถูกรุมฟ้องร้องให้ยกเลิก เปิดทางมอมเมาเพิ่มซ้ำเติมปัญหาสังคม
วันนี้ (18 พ.ย.) นายชูวิทย์ จันทรส เลขานุการเครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์ (ครปอ.) กล่าวถึงกรณีคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างแถลงข่าวร่วมว่าด้วยการประกาศการเข้าร่วมเจรจาความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (TPP) และการรื้อฟื้นการประชุมคณะมนตรีภายใต้กรอบความตกลงการค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับสหรัฐฯ (TIFA JC) โดยนายกรัฐมนตรีไทย และประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา จะมีถ้อยแถลงข่าวร่วม (Joint Press Statement) ว่า ท่าทีดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลชุดนี้มองแต่เรื่องเงิน และเรื่องเศรษฐกิจเป็นตัวตั้ง ให้ความสำคัญกับมิติด้านคุณภาพชีวิตและสังคมน้อย เฉพาะปัญหาจากน้ำเมาไทยต้องสูญเสียต่อปีเกือบสองแสนล้านบาท คนตายเพราะน้ำเมามากถึง 26,000 คนต่อปี ลูกหลานตกเป็นนักดื่มหน้าใหม่ปีละ 25,000 คน คนตายเฉพาะอุบัติเหตุบนท้องถนนจากคนเมา มากกว่า 13,000 คน สถานศึกษาแต่ละแห่งก็ล้อมรอบไปด้วยร้านเหล้า สถานบันเทิง ที่พร้อมใจกันรุมทึ้งเงินค่าเทอม ค่าเล่าเรียนจากนิสิตนักศึกษา นอกจากนี้ ยังเห็นการขายเหล้าให้เด็กเกือบ 100% การปล่อยให้เด็กเข้าผับบาร์ ซึ่งผิดกฎหมายชัดเจน ทั้งที่เรามีกฎหมายควบคุมชัดเจนพอสมควร
นายชูวิทย์ กล่าวอีกว่า ถ้าไทยยอมตกลงเข้าเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ดังกล่าว สิ่งที่น่าห่วงที่สุด คือ การโหมเข้ามาทำตลาดเพิ่ม ซึ่งเท่ากับการมอมเมาเพิ่มขึ้น และสำคัญกฎหมายที่มีอยู่ โดยเฉพาะ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 อาจถูกฟ้องร้องให้ยกเลิกหรือแก้ไขกฎหมาย เพื่อให้การคุ้มครองการลงทุนของน้ำเมาข้ามชาติ และเรียกค่าชดเชยจากรัฐไทยได้ ซึ่งจะเป็นอันตรายอย่างยิ่งถ้าต่อไปการออกมาตรการใหม่ๆที่มีประสิทธิภาพ จะถูกกีดกันให้ทำได้ยากขึ้นหรือทำไม่ได้เลย
“เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ เป็นปัญหาที่มีผู้มีส่วนได้เสียจำนวนมาก และจะกระทบกับคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างรุนแรง ทั้งที่เกี่ยวข้องกับด้านสาธารณสุข ระบบยา สิทธิบัตร ตลอดจนการค้าการลงทุน ซึ่งในจำนวนนั้นมีบรรดาอบายมุขแทบทุกประเภทรวมอยู่ด้วย รัฐบาลจึงไม่ควรรีบเร่ง ควรมีการศึกษาที่รอบด้านและให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุด ในเรื่องนี้ยังหวังอยู่ว่ารัฐบาลไทยจะไม่วางระเบิดเวลาให้ตัวเอง กับการตัดสินใจที่ผิดพลาดตามก้นอเมริกา” นายชูวิทย์ กล่าว
วันนี้ (18 พ.ย.) นายชูวิทย์ จันทรส เลขานุการเครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์ (ครปอ.) กล่าวถึงกรณีคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างแถลงข่าวร่วมว่าด้วยการประกาศการเข้าร่วมเจรจาความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (TPP) และการรื้อฟื้นการประชุมคณะมนตรีภายใต้กรอบความตกลงการค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับสหรัฐฯ (TIFA JC) โดยนายกรัฐมนตรีไทย และประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา จะมีถ้อยแถลงข่าวร่วม (Joint Press Statement) ว่า ท่าทีดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลชุดนี้มองแต่เรื่องเงิน และเรื่องเศรษฐกิจเป็นตัวตั้ง ให้ความสำคัญกับมิติด้านคุณภาพชีวิตและสังคมน้อย เฉพาะปัญหาจากน้ำเมาไทยต้องสูญเสียต่อปีเกือบสองแสนล้านบาท คนตายเพราะน้ำเมามากถึง 26,000 คนต่อปี ลูกหลานตกเป็นนักดื่มหน้าใหม่ปีละ 25,000 คน คนตายเฉพาะอุบัติเหตุบนท้องถนนจากคนเมา มากกว่า 13,000 คน สถานศึกษาแต่ละแห่งก็ล้อมรอบไปด้วยร้านเหล้า สถานบันเทิง ที่พร้อมใจกันรุมทึ้งเงินค่าเทอม ค่าเล่าเรียนจากนิสิตนักศึกษา นอกจากนี้ ยังเห็นการขายเหล้าให้เด็กเกือบ 100% การปล่อยให้เด็กเข้าผับบาร์ ซึ่งผิดกฎหมายชัดเจน ทั้งที่เรามีกฎหมายควบคุมชัดเจนพอสมควร
นายชูวิทย์ กล่าวอีกว่า ถ้าไทยยอมตกลงเข้าเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ดังกล่าว สิ่งที่น่าห่วงที่สุด คือ การโหมเข้ามาทำตลาดเพิ่ม ซึ่งเท่ากับการมอมเมาเพิ่มขึ้น และสำคัญกฎหมายที่มีอยู่ โดยเฉพาะ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 อาจถูกฟ้องร้องให้ยกเลิกหรือแก้ไขกฎหมาย เพื่อให้การคุ้มครองการลงทุนของน้ำเมาข้ามชาติ และเรียกค่าชดเชยจากรัฐไทยได้ ซึ่งจะเป็นอันตรายอย่างยิ่งถ้าต่อไปการออกมาตรการใหม่ๆที่มีประสิทธิภาพ จะถูกกีดกันให้ทำได้ยากขึ้นหรือทำไม่ได้เลย
“เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ เป็นปัญหาที่มีผู้มีส่วนได้เสียจำนวนมาก และจะกระทบกับคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างรุนแรง ทั้งที่เกี่ยวข้องกับด้านสาธารณสุข ระบบยา สิทธิบัตร ตลอดจนการค้าการลงทุน ซึ่งในจำนวนนั้นมีบรรดาอบายมุขแทบทุกประเภทรวมอยู่ด้วย รัฐบาลจึงไม่ควรรีบเร่ง ควรมีการศึกษาที่รอบด้านและให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุด ในเรื่องนี้ยังหวังอยู่ว่ารัฐบาลไทยจะไม่วางระเบิดเวลาให้ตัวเอง กับการตัดสินใจที่ผิดพลาดตามก้นอเมริกา” นายชูวิทย์ กล่าว