xs
xsm
sm
md
lg

เครือข่ายเอฟทีเอวอทช์ยื่น จม.เปิดผนึกถึงยิ่งลักษณ์ ชะลอเข้าร่วม TPP

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการออนไลน์ - เครือข่ายภาคประชาสังคม นำโดยกลุ่มเอฟทีเอวอทช์ ทำจดหมายเปิดผนึกถึงนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เรียกร้องให้รัฐบาลชะลอการประกาศเข้าร่วมเจรจาหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (TPP) เพราะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมไทยอย่างรุนแรง เตรียมแถลงคัดค้านวันอาทิตย์ 18 พ.ย.นี้

วันนี้ (15 พ.ย.) ภญ.สำลี ใจดี กลุ่มศึกษา ข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (FTA Watch)เป็นผู้นำในการลงชื่อในจดหมายเปิดผนึกของเครือข่ายภาคประชาสังคม ถึงนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลชะลอการประกาศเข้าร่วมเจรจาความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (TPP) ในวาระโอกาสที่ นายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา จะเดินทางมาเยือนไทยในวันที่ 18 พ.ย.นี้ จนกว่าจะมีการศึกษาข้อดีข้อเสียอย่างชัดเจน ครอบคลุม และกว้างขวางเพียงพอ

จดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรี มีใจความดังนี้ ภาคประชาสังคมตามรายนามด้านล่าง ขอเรียกร้องให้ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ชะลอการประกาศการเข้าร่วมเจรจาความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (TPP) จนกว่าจะมีการศึกษาข้อดีข้อเสียอย่างชัดเจน ครอบคลุม และกว้างขวางเพียงพอ และดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญอย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งหารือประชาชนอย่างเร่งด่วน เพราะทั้งหมดนี้เป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลประชาธิปไตยที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน จริงอยู่ที่ประเทศไทยไม่ควรหยุดนิ่งในการพัฒนาการค้าและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่ประเด็นที่มีความสำคัญอย่างยิ่งเช่นนี้ไม่สามารถดำเนินการอย่างผลีผลามได้ หากคำนึงเพียงแค่วาทกรรมเรื่องการตกขบวนการค้า อาจส่งผลเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อสวัสดิการของประชาชน และต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนของไทยได้

                พวกเรา ภาคประชาสังคมที่ติดตามเรื่องการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ที่มีผลกระทบต่อสังคมในด้านต่างๆ มีความวิตกกังวลอย่างยิ่งต่อการตัดสินใจเร่งด่วนของรัฐบาล ที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างแถลงข่าวร่วมว่าด้วยการประกาศการเข้าร่วมเจรจาความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (TPP)  และการรื้อฟื้นการประชุมคณะมนตรีภายใต้กรอบความตกลงการค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับสหรัฐฯ (TIFA JC) โดยนายกรัฐมนตรีไทย และประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา จะมีถ้อยแถลงข่าวร่วม (Joint Press Statement) ในวันอาทิตย์ที่ 18 พ.ย.นั้น

                คณะรัฐมนตรีรวบรัดออกมติดังกล่าว ทั้งที่เป็นมติที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ หรือสังคมของประเทศอย่างกว้างขวาง หรือมีผลผูกพันด้านการค้า การลงทุน หรืองบประมาณของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ แต่ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมที่เกี่ยวข้องไม่มีส่วนในการให้ความเห็นที่รอบด้านแก่คณะรัฐมนตรีแม้แต่น้อย

                แม้การแถลงข่าวร่วมของ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี และประธานาธิบดีสหรัฐฯ อาจไม่เข้าข่ายมาตรา 190 ตามรัฐธรรมนูญ แต่การประกาศการเข้าร่วมเจรจาความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (TPP) ถ้อยแถลงข่าวร่วม (Joint Press Statement) นั้น มีผลผูกมัดทางการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างชัดเจน ดังนั้นจึงควรเกิดจากการพิจารณาและหารือที่ถ้วนถี่ และยืนอยู่บนความรู้ความเข้าใจที่มากพอถึงผลดี-ผลเสียต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นจากการเข้าร่วมความตกลงดังกล่าว

                ความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (TPP) เป็นความตกลงที่สหรัฐฯมีท่าทีที่ชัดเจนในการบรรจุความต้องการและผลประโยชน์ที่เป็นของบรรษัทข้ามชาติที่ยังไม่ได้รับการยอมรับในการเจรจาระหว่างประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะในองค์การการค้าโลก ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงในด้านต่างๆ ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ ซึ่งในเบื้องต้นผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการเข้าร่วม TPP มีดังนี้

1.การเข้าถึงยาและสาธารณสุขของประเทศ ผ่านการเพิ่มระบบการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา อาทิ การขยายอายุสิทธิบัตร, การผูกขาดข้อมูลทางยา, การจำกัดการใช้กลไกยืดหยุ่นในความตกลงทริปส์, ทำให้กระบวนการตรวจสอบสิทธิบัตรและการขึ้นทะเบียนยาอ่อนแอ การให้สิทธิบัตรแก่การผ่าตัดและวินิจฉัยโรค และจำกัดอำนาจต่อรองและควบคุมราคายาของระบบหลักประกันสุขภาพ ฯลฯ ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อนโยบายลดความเหลื่อมล้ำด้านสุขภาพของรัฐบาล

2.การอนุญาตให้จดสิทธิบัตรพันธุ์พืชพันธุ์สัตว์ ทำให้เกิดการแย่งชิงทรัพยากรชีวภาพและบังคับให้เกษตรกรต้องจ่ายค่าชดเชยต่างๆ ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงกับเกษตรกร ซึ่งเป็นกลุ่มประชากรที่รัฐบาลให้ความสำคัญ และพยายามยกระดับความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น

3.เปิดเสรีบริการทางการเงินอย่างกว้างขวางให้นักลงทุนต่างชาติถือหุ้น 100% และจำกัดสิทธิในการกำกับดูแล โดยเฉพาะมาตรานโยบายเงินทุนเคลื่อนย้ายเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ

4.การคุ้มครองการลงทุนให้แก่นักลงทุนต่างชาติสามารถฟ้องร้อง เพื่อยกเลิกนโยบายสาธารณะ และเรียกค่าชดเชยจากรัฐผ่านกลไกอนุญาโตตุลาการ นั่นจะยิ่งจำกัดพื้นที่ในการดำเนินนโยบายเพื่อสาธารณะของรัฐบาล

นอกจากนี้ ระบบการเจรจาของ TPP นั้น ประเทศที่แสดงเจตจำนงเข้าไปร่วมเจรจาทีหลัง จะต้องเจรจากับประเทศที่เจรจาอยู่ก่อนให้ยอมรับ ฉะนั้น ผลกระทบจากการเจรจาจะพิจารณาจากข้อเรียกร้องของสหรัฐฯในปัจจุบันไม่ได้ เพราะอาจจะมีข้อเรียกร้องจากประเทศต่างๆ ผนวกเพิ่มเข้ามา        
              
สำหรับรายชื่อผู้ร่วมลงนามในจดหมายเปิดผนึก มีดังนี้ ภญ.สำลี ใจดี, กลุ่มศึกษาเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (FTA Watch), เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย, คณะกรรมการองค์กรพัฒนาเอกชนด้านเอดส์, มูลนิธิเข้าถึงเอดส์, มูลนิธิศูนย์คุ้มครองสิทธิด้านเอดส์, เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก, ชมรมเพื่อนโรคไต, เครือข่ายเพื่อนมะเร็ง, มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค, มูลนิธิเภสัชชนบท, กลุ่มศึกษาปัญหายา, มูลนิธิชีววิถี, มูลนิธิบูรณะนิเวศ, มูลนิธิสุขภาพไทย

นางสาวกรรณิการ์ กิจติเวชกุล จากกลุ่มอฟทีเอ วอทช์ กล่าวว่า ในวันอาทิตย์ที่ 18 พ.ย.นี้ เวลา 10.00 น.กลุ่มเอฟทีเอ วอทช์ และภาคประชาสังคมต่างๆ จะร่วมกันแถลงข่าว ณ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค อนุสาวรีชัยฯ จากนั้นจะมีการจัดกิจกรรมรณรงค์ให้ความรู้ต่อสาธารณชนเกี่ยวกับผลกระทบจากความตกลง TPP ย่านอนุสาวรีย์ชัยฯ และ สยาม
กำลังโหลดความคิดเห็น