ผ่าประเด็นร้อน
การเดินทางไปเยือนประเทศจีนอย่างกะทันหันของ กิตติรัตน์ ณ ระนอง เมื่อวันอาทิตย์ที่ 26 สิงหาคม และเดินทางกลับถึงประเทศไทยบ่ายวันอาทิตย์ที่ 27 สิงหาคมที่ผ่านมา ตามข่าวระบุว่าเป็นการเดินทางไปเจรจาทางการค้า แต่ก็เป็นการอ้างแหล่งข่าวลอยๆ เป็นกำหนดการลอยๆเพราะไม่มีวาระการเจรจาอะไรที่กำหนดออกมาให้แน่ชัดว่าเป็นเรื่องอะไร ซึ่งผิดกับการเดินทางไปรัสเซียเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม เพื่อเข้าร่วมรัฐมนตรีกลุ่มประเทศเอเปค ซึ่งก็มีเหตุผลพอกล้อมแกล้มรับฟังได้
ขณะเดียวกัน เมื่อปะติดปะต่อกันแล้วเชื่อว่า การเดินทางไปจีนเที่ยวนี้ของกิตติรัตน์ รับรองว่าต้องเป็นกำหนดการลับ และ “สำคัญอย่างยิ่ง” โดยเฉพาะต่ออนาคตทางการเมืองของตัวเอง ในช่วงที่กำลังจะมีการปรับคณะรัฐมนตรีในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า
ที่บอกว่าต้องเป็นภารกิจลับและสำคัญก็เพราะในช่วงเวลาเดียวกันก็ปรากฏว่า ทักษิณ ชินวัตร (ผู้มีบารมีนอกประเทศ) กำลังแวะเวียนไปที่นั่นพอดี และจากการเปิดเผยของ “ทนายส่วนตัว” ของเขาคือ นพดล ปัทมะ ทำให้ทราบว่า ทักษิณ ได้ออกจากกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เข้ามายังฮ่องกง ในตอนเช้าวันพุธที่ 29 สิงหาคมที่ผ่านมา แทนที่จะบินตรงกลับดูไบตามกำหนดการเดิม
จากข้อมูลที่ออกมาจากปากของนพดลยังยอมรับอีกว่า การเดินทางมายังฮ่องกงของทักษิณ เพื่อพบหารือกับคนรู้จักเพื่อนฝูงคนที่เคารพนับถือ รวมทั้งยังยอมรับอีกว่าในจำนวนนั้นก็ย่อมมีทั้งคนที่ไปขอตำแหน่งรวมอยู่ด้วย ซึ่งก็รับรู้กันอยู่ว่าเป็นช่วงแต่งตั้งโยกย้ายพอดี
ดังนั้นหากตัดพวกบรรดา “เสือหิว” นักเลือกตั้งลูกน้องเก่าๆ แล้ว มันก็มีความเป็นไปได้เหมือนกันว่าน่าจะเป็นการหารือกับบรรดา “กุนซือ” เพื่อวางตำแหน่งรัฐมนตรีสำคัญ เพื่อรับมือกับสารพัดปัญหาที่กำลังหาโถมเข้าใส่รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวของตัวเอง หลังจากเกิดกรณี “โกหกสีขาว” ของ กิตติรัตน์ ณ ระนอง ในเรื่องเป้าหมายการส่งออกที่เคยตั้งเป้าหมายเอาไว้ที่ร้อยละ 15 เป็นยอมรับความจริงว่าเป็นไปไม่ได้ และลดเป้าลงมาเหลือแค่ร้อยละ 9 แต่ภาคเอกชน รวมทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย โดย ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยที่คาดการณ์ว่าการส่งออกของไทยน่าจะไม่เกินร้อยละ 7 หรือต่ำกว่านั้น
ล่าสุด สำนักงานเศรษฐกิจการคลังก็เพิ่งแถลงตัวเลขคาดการการส่งออกของไทยในปีนี้ว่าไม่น่าจะเกินร้อยละ 5-6 เท่านั้น ถ้าเป็นแบบนี้จริงถือว่าหนักหนาสาหัสมาก
สิ่งที่หลายคนจับตามองก็คือ สถานะของกิตติรัตน์ในเก้าอี้รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รวมทั้งเป็น “หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ” ของรัฐบาล จะง่อนแง่นหรือไม่ เพราะก่อนหน้านี้มีหลายคนที่เคยรับใช้ใกล้ชิด ทักษิณ อย่างเช่นอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช รวมทั้ง นพดล ปัทมะ ก็ยังเคยออกมาตำหนิคำพูดดังกล่าวของ กิตติรัตน์ แต่ฉับพลันที่ นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ออกมาปกป้องว่าเป็นการพูดด้วยเจตนาดี และยังยืนยันว่ายังไม่ถึงเวลาที่จะปรับคณะรัฐมนตรี นั่นเท่ากับว่าสถานะของเขา ยังแน่นปึ้ก
เพราะก่อนหน้านั้นไม่กี่ชั่วโมง กิตติรัตน์ยังประกาศเดินหน้าโครงการขนาดใหญ่โดยเตรียมกู้เงินจำนวนกว่า 2 ล้านล้านบาทมารองรับ รวมทั้งลุยโครงการประชานิยมตามนโยบายของรัฐบาลอย่างเต็มสูบ นั่นเท่ากับว่าเขามั่นใจว่าทุกอย่างไม่มีทางเปลี่ยนแปลง ซึ่งหากพิจารณาจากแบ็กราวด์ความสำพันธ์ระหว่าง นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ กับ กิตติรัตน์ ถือว่ามีความเชื่อมั่นไว้วางใจกันมาก จนนำไปสู่ที่มาว่า นี่คือ “บางใหม่” เป็น “แก๊งสี่คน” นั่นคือ นอกเหนือจากทั้งสองคนดังกล่าวแล้วยังมี เศรษฐา ทวีสิน บิ๊กอสังหาริมทรัพย์จากแสนสิริกรุ๊ฟ และล่าสุดก็คือเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สุรนันทน์ เวชชาชีวะ นี่แหละถึงได้บอกว่า เขายังเป็นหัวรถจักรสำคัญในการขับเคลื่อนรัฐบาลชุดนี้
นาทีนี้แม้ว่า กิตติรัตน์จะมีความล้มเหลวอย่างไรก็ตาม แต่เชื่อว่ายังมั่นคงอยู่ได้ เพราะความไว้ใจ และความเชื่อมั่นจากนายกรัฐมนตรีมีอยู่สูงมาก สูงจนว่ากันว่าทำให้บางครั้ง ทักษิณ และเครือข่ายเดิมเกิดความอึดอัด พูดแล้ว นายกฯไม่ทำตามแบบเชื่องเชื่อเหมือนเก่าแล้ว แต่ติดตรงที่ว่า ถ้า ยิ่งลักษณ์ พัง นั่นก็หมายความว่าพังกันทั้งครอบครัว จึงจำต้องสนับสนุนประนีประนอมกันไป และหาก กิตติรัตน์ ได้พบกับ ทักษิณ ที่ปักกิ่ง เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา นั่นก็แสดงว่าเป็นการ “เคลียร์” หรือตำหนิว่ากล่าวในเรื่องโกหกสีขาวก็ได้ ซึ่งจะว่าไปแล้ว เขาก็ไม่ต่างจาก “เด็กในบ้าน” ของทักษิณ นั่นแหละ ก็ต้องก้มหน้ารับ
ขณะเดียวกันสำหรับ ยิ่งลักษณ์ ซึ่งกำลังสนุกอยู่กับ “หัวโขน” นายกรัฐมนตรี เริ่มเคลิบเคลิ้มกับอำนาจ ประกอบกับมีกุนซือส่วนตัว ก็ย่อมต้องการที่จะ “กระชับอำนาจ” ให้มากขึ้นกว่าเดิม และอย่างที่บอกเมื่อไว้ใจและเชื่อใจ กิตติรัตน์ แบบนี้รับรองว่า บทบาทสำคัญในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ยังไม่เปลี่ยนแปลงในอนาคตอันใกล้แน่นอน!!