ไฟแนนเชียล ไทม์ส ระบุรัฐบาลไทย ตกเป็นเป้าของการโจมตีครั้งใหม่ หลัง วาทะกรรม “white lie” “โต้ง” ยันไม่ออก ประธาน ส.อ.ท.ย้ำ “กิตติรัตน์” โกหกส่งออกไม่กระทบเชื่อมั่นเอกชน ปชป.แฉรัฐบาล"ยิ่งลักษณ์ " โกหกสีขาว 19 เรื่อง
หลังจากที่นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ออกมายอมรับหน้าตาเฉยว่าตนเอง “โกหกสีขาว” หรือ “white lie”แบบคำโตเมื่อต้นปีที่ผ่านมาในเรื่องของเป้าหมายการส่งออกในปีนี้ที่ร้อยละ 15 จนถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหน่วงจากแทบทุกภาคส่วนในสังคมไทย
รายงานของไฟแนนเชียล ไทม์สระบุว่า ดูเหมือนสังคมไทยจะรับไม่ได้ กับคำกล่าวของนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ขุนคลังคู่ใจรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีหญิง รายนี้ที่ว่า “การเป็นรัฐมนตรีคลังจำเป็นต้องพูดโกหกเป็นบางครั้งเพื่อสร้างความรู้สึกที่ดี” โดยสื่อดังด้านธุรกิจที่มียอดจำหน่ายกว่าวันละ 337,700 ฉบับทั่วโลกรายนี้ ชี้ว่า การพูดปดมดเท็จของนายกิตติรัตน์ครั้งนี้ ทำให้หลายภาคส่วนในสังคมไทยวิพากษ์วิจารณ์และพากันตั้งคำถามถึงความเหมาะสม รวมถึงความน่าเชื่อถือของรัฐบาลไทยเกี่ยวกับตัวเลขทางเศรษฐกิจต่างๆ ที่เคยมีการประกาศออกมาก่อนหน้านี้ เช่น ตัวเลขเงินเฟ้อ
ยิ่งไปกว่านั้น กระแสสังคมที่กำลังพลุ่งพล่านในเวลานี้ ดูเหมือนจะพุ่งเป้าไปสู่ข้อเรียกร้องให้นายกิตติรัตน์ลาออกจากตำแหน่งมากยิ่งขึ้น ขณะที่บรรดานักเศรษฐศาสตร์และผู้นำองค์กรภาคธุรกิจจากทั่วฟ้าเมืองไทยต่างลงความเห็นว่า ต่อไปนี้จะมีใครที่กล้าเชื่อถือการคาดการณ์ทางเศรษฐกิจของรัฐบาลยิ่งลักษณ์อีก
การโกหกสีขาวของนายกิตติรัตน์ยังถูกระบุว่า มีความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับ “การโกหกทางการทูต” ซึ่งเกิดขึ้นเป็นประจำในเวทีระหว่างประเทศ เนื่องจากในฐานะรัฐมนตรีคลัง นายกิตติรัตน์ควรจะตระหนักได้ว่า การคาดการณ์หรือการระบุเป้าหมายด้านการส่งออกที่ออกมาจากปากของผู้เป็นรัฐมนตรีสำคัญทางด้านเศรษฐกิจ ย่อมจะมีผลกระทบต่อการวางแผนทางธุรกิจของผู้ประกอบการจำนวนมาก และจำเป็นอย่างยิ่งที่การคาดการณ์ทางเศรษฐกิจจะต้องมีความถูกต้อง เชื่อถือได้ และมีความเป็นวิทยาศาสตร์ที่สามารถตรวจสอบได้
***”โต้ง” ยันยังไงก็ไม่ออก
ขณะที่นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯ และ รมว.คลัง กล่าวเมื่อวานนี้ถึงกระแสข่าวเรียกร้องจากหลายฝ่ายให้มีการปลดตนออกจากตำแหน่งว่า ไม่ขอแสดงความคิดเห็นบนความคิดเห็นของคนอื่น พร้อมทั้งยืนยันว่าตนยังอยู่ร่วมในคณะรัฐมนตรีต่อไป นอกจากนี้ การโยกย้ายข้าราชการกระทรวงการคลังเมื่อวานนี้ ไม่ได้ทำเพราะเตรียมวางมือแต่อย่างใด
พร้อมยืนยันถึงการเดินทางไปต่างประเทศเมื่อวาน เป็นการเดินทางไปเพื่อเป็นการเจรจาทางการค้าเท่านั้น ไม่ได้มีการหารือกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
"ผมไม่ได้คุยกับท่านทักษิณ เมื่อวานนี้(27สิงหาคม) ผมไปต่างประเทศ เพื่อเตรียมเจรจาการค้า "นายกิตติรัตน์กล่าว
***ประธาน ส.อ.ท.ชี้ ไม่กระทบเชื่อมั่น
นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวถึงกรณีที่ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ออกมายอมรับว่า พูดโกหกสีขาว (White lie) เกี่ยวกับตัวเลขการส่งออก น่าจะเป็นเป้าหมายการทำงานที่ท้าทาย เพื่อกระตุ้นให้ทุกภาคส่วนทำงานอย่างเต็มที่ เป็นเจตนาที่ดี ไม่ใช่เรื่องที่น่าวิตกกังวล และไม่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน เนื่องจากผู้ประกอบการส่วนใหญ่จะวิเคราะห์ตัวเลขการส่งออก และผลกระทบของตัวเองอยู่แล้ว
"การที่ท่านพูดว่า ตัวเลขการส่งออกที่รัฐบาลตั้งเป้าไว้ว่าจะขยายตัวได้ร้อยละ 15 เป็นการไวต์ลาย หรือการโกหกสีขาวนั้น ไม่น่าจะมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการ เพราะการกำหนดตัวเลขการส่งออกที่ร้อยละ 15 เป็นการวางเป้าหมายที่ท้าทายเพื่อให้เกิดความพยายามในการทำงาน ซึ่งผู้ประกอบการมีการประเมินตัวเลขโดยใช้ข้อมูลจากหลายด้านประกอบการทำธุรกิจอยู่แล้ว"
ตอนนี้ นักลงทุนต่างชาติก็ยังคงสนใจที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยต่อเนื่อง เพราะมีความพร้อมในเรื่องของ Supply Chain ส่วนการส่งออกในช่วงครึ่งปีหลังนั้นยอมรับว่าเป็นเรื่องที่เหนื่อย ซึ่งผู้ประกอบการจะต้องใช้ความพยายามให้เต็มที่ ทั้งการหาตลาดใหม่ การลดต้นทุนการผลิต และการรักษามาตรฐานสินค้าเพื่อรักษาฐานตลาดเดิมไว้
ทั้งนี้ ตัวเลขการส่งออกในปีนี้จะเติบโตได้เพียงร้อยละ 9 หรือไม่นั้นยังไม่สามารถประเมินได้ ซึ่งต้องรอดูความชัดเจนในไตรมาสที่ 3 ก่อน
** รัฐบาลโกหกสีขาว 19 เรื่อง
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ประธานวิปฝ่ายค้าน กล่าวว่า ในการประชุมสภาวันที่ 30 ส.ค.นี้ ฝ่ายค้านจะตั้งกระทู้สด สอบถามเรื่องโกหกสีขาว ต่อ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ที่เคยออกมาระบุว่า ตัวเลขการส่งออกจะเติบโตถึงร้อยละ 15
ล่าสุดในงาน 1 ปีงานยิ่งลักษณ์กับเศรษฐกิจไทย ก็ยอมรับแล้วว่าการคาดการณ์ มีความจำเป็นต้องมีการโกหกสีขาว และมีผู้อนุญาตให้ทำได้ เห็นว่าเรื่องนี้ส่งผลกระทบอย่างยิ่งในการทำลายความน่าเชื่อถือของทีมเศรษฐกิจ และรัฐบาล ตลอดจนกระทบต่อความเชื่อมั่นของประเทศ และตัวจริยธรรมของข้าราชการนักการเมือง ขัดต่อระเยียบสำนักนายกฯ ในจริยธรรม ข้อ 6 (7) ที่ข้าราชการการเมือง เจ้าหน้าที่ ต้องให้ข้อมูลที่ถูกต้อง ไม่บิดเบือนต่อประชาชน และข้อที่ 15 ต้องให้ข้อมูลที่ไม่เกิดความเข้าใจผิดของตนเอง และผู้รับ
อย่างไรก็ตาม เรื่องโกหกสีขาวยังมีอีกหลายเรื่องที่รัฐบาลทำไว้ จะได้รวบรวมและทยอยเสนอต่อสาธารณะให้รับทราบ ซึ่งขณะนี้รวบรวมได้แล้ว 19 เรื่อง และจะได้ชี้แจงเป็นครั้งๆไป ภายหลังการประชุมวิปฝ่ายค้านครั้งละ 3-4 เรื่อง ในหัวข้อ 1 ปีรัฐบาลยิ่งลักษณ์ กับโกหกสีขาว 19 เรื่อง ในพฤติกรรมการบริหารแผ่นดิน
ส่วนจะมีการยื่นเอาผิด ตามประมวลจริยธรรม รวมไปถึงการยื่นถอดถอน นายกิตติรัตน์ หรือไม่นั้น ขณะนี้ฝ่ายค้านอยู่ในระหว่างการรวบรวมข้อมูล ซึ่งเท่าที่ทราบ ในส่วนของภาคประชาชนก็ได้ยื่นไปแล้ว
**ซัด'ปึ้ง"โมเมตัวเลขปั่นราคารัฐบาล
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ตำหนิการแถลงผลงานของ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ ที่อ้างว่าการค้าการลงทุนระหว่างประเทศเพิ่มมากขึ้น ทั้งที่ไม่ใช่งานของกระทรวงการต่างประเทศโดยตรง และเมื่อตรวจสอบพบว่านายสุรพงษ์ แถลงว่า ปริมาณการค้าของไทยกับหลายประเทศเพิ่มขึ้น เช่นจีน เพิ่มขึ้น 16.98 % ญี่ปุ่นเพิ่ม 12.38 % นั้นพบว่าการค้าที่นายสุรพงษ์พูดถึงนั้น มีการนำตัวเลขส่งออกและนำเข้าบวกรวมกันแล้วเปรียบเทียบกับปีที่แล้วทำให้ตัวเลขสูงขึ้น แต่ไม่ได้ดูว่าตัวเลขที่สุงขึ้นคือนำเข้า เราขาดดุลเพิ่มขึ้น 158 % นายสุรพงษ์ หน้าด้านมากที่บอกการค้าเพิ่มขึ้น 16.98 % เพราะมีการขาดดุลเพิ่มจากปี 2554 ถึง 158 % ส่วนตัวเลขของประเทศญี่ปุ่นนั้นพบว่าอัตราการค้าเพิ่มขึ้น 12.8 % ไทยขาดดุลเพิ่มขึ้น 74 % แสดงว่ากระทรวงการต่างประเทศยุคนายสุรพงษ์ เก่งในการซื้อของจากต่างประเทศ จึงไม่รู้ว่าโง่จริงหรือแกล้งโง่ ว่าการขาดดุลการค้าทำให้ชาติเสียประโยชน์แต่กล้าเอามาเป็นผลงาน อีกทั้งยังถือว่าเป็นเรื่องที่น่าละอายสำหรับ รมว.คลัง ที่พูดจาโกหก แล้วยังมี รมว.ต่างประเทศ พูดความจริงครึ่งเดียว มีกระทรวงพาณิชย์ ที่ไม่พูดความจริงเลย ซึ่งในวันนี้ รมว.พาณิชย์ เพิ่งยอมรับว่าการส่งออกไม่เกิน 8 % หรือ 7.9 % ขณะที่สัปดาห์ที่แล้ว ยังระบุว่า 15 % แสดงว่ารู้อยู่แล้ว แต่รวมหัวกันหลอกคนไทย ถือเป็นรัฐบาลหน้าทนที่ไม่รับผิดชอบต่อคำพูดของตัวเอง
** แฉ "ปึ้ง" ปล่อยไก่
นอกจากนี้ นายสุรพงษ์ ยังขาดความรู้ความเข้าใจและมีการนำผลงานของรัฐบาลที่แล้วมาเป็นผลงานตัวเอง โดยยกตัวย่างกรณีที่กล่าวหาว่ารัฐบาลที่แล้วมีปัญหากับพม่า จนปิดด่านที่เมียวดี แต่รัฐบาลนี้เปิดด่านได้ ทั้งที่เรื่องนี้เป็นการเมืองภายในพม่าที่มีปัญหาชนกลุ่มน้อยจึงปิดด่านเพื่อป้องกันการขนส่งอาวุธ เสบียงให้กลุ่มที่ต่อต้านรัฐบาล ไม่เกี่ยวกับรัฐบาลไทย และการเปิดด่านก็ไม่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลชุดนี้ แต่เป็นการเจรจาการเมืองภายในของพม่า จึงไม่อยากให้นายสุรพงษ์ปล่อยไก่
ส่วนที่บอกว่าความสัมพันธ์ไทยกัมพูชาดีขึ้นนั้น เป็นเรื่องจริงเพราะรัฐบาลไปยกประโยชน์ให้กัมพูชาในหลายเรื่อง ทั้งเรื่องการให้กัมพูชาเป็นประธานการประชุมกรรมการมรดกโลก ทำให้กัมพูชาได้เปรียบมีสิทธิได้อธิปไตยไทยไป ถ้าถือว่าเป็นผลงานให้จารึกชื่อนายสุรพงษ์ ว่าใครจะทำให้ประเทศเสียดินแดน เสียพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารให้กัมพูชาอย่างถาวร
นายสุรพงษ์ ยังแอบอ้างการเปิดโครงการท่าเรือน้ำลึกทวายกับพม่า ว่าเป็นความสำเร็จของรัฐบาลนั้นถือเป็นเรื่องที่น่าไม่อาย เพราะเรื่องนี้เป็นการผลักดันของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่มีการเจรจากับพม่าให้บริษัทของไทยได้เข้าไปลงทุน จนมีความคืบหน้าให้รัฐบาลชุดนี้มาต่อยอด แต่นายสุรพงษ์ กล้า และด้านพอที่จะแอบอ้างว่าเป็นผลงานของตัวเอง
หลังจากที่นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ออกมายอมรับหน้าตาเฉยว่าตนเอง “โกหกสีขาว” หรือ “white lie”แบบคำโตเมื่อต้นปีที่ผ่านมาในเรื่องของเป้าหมายการส่งออกในปีนี้ที่ร้อยละ 15 จนถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหน่วงจากแทบทุกภาคส่วนในสังคมไทย
รายงานของไฟแนนเชียล ไทม์สระบุว่า ดูเหมือนสังคมไทยจะรับไม่ได้ กับคำกล่าวของนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ขุนคลังคู่ใจรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีหญิง รายนี้ที่ว่า “การเป็นรัฐมนตรีคลังจำเป็นต้องพูดโกหกเป็นบางครั้งเพื่อสร้างความรู้สึกที่ดี” โดยสื่อดังด้านธุรกิจที่มียอดจำหน่ายกว่าวันละ 337,700 ฉบับทั่วโลกรายนี้ ชี้ว่า การพูดปดมดเท็จของนายกิตติรัตน์ครั้งนี้ ทำให้หลายภาคส่วนในสังคมไทยวิพากษ์วิจารณ์และพากันตั้งคำถามถึงความเหมาะสม รวมถึงความน่าเชื่อถือของรัฐบาลไทยเกี่ยวกับตัวเลขทางเศรษฐกิจต่างๆ ที่เคยมีการประกาศออกมาก่อนหน้านี้ เช่น ตัวเลขเงินเฟ้อ
ยิ่งไปกว่านั้น กระแสสังคมที่กำลังพลุ่งพล่านในเวลานี้ ดูเหมือนจะพุ่งเป้าไปสู่ข้อเรียกร้องให้นายกิตติรัตน์ลาออกจากตำแหน่งมากยิ่งขึ้น ขณะที่บรรดานักเศรษฐศาสตร์และผู้นำองค์กรภาคธุรกิจจากทั่วฟ้าเมืองไทยต่างลงความเห็นว่า ต่อไปนี้จะมีใครที่กล้าเชื่อถือการคาดการณ์ทางเศรษฐกิจของรัฐบาลยิ่งลักษณ์อีก
การโกหกสีขาวของนายกิตติรัตน์ยังถูกระบุว่า มีความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับ “การโกหกทางการทูต” ซึ่งเกิดขึ้นเป็นประจำในเวทีระหว่างประเทศ เนื่องจากในฐานะรัฐมนตรีคลัง นายกิตติรัตน์ควรจะตระหนักได้ว่า การคาดการณ์หรือการระบุเป้าหมายด้านการส่งออกที่ออกมาจากปากของผู้เป็นรัฐมนตรีสำคัญทางด้านเศรษฐกิจ ย่อมจะมีผลกระทบต่อการวางแผนทางธุรกิจของผู้ประกอบการจำนวนมาก และจำเป็นอย่างยิ่งที่การคาดการณ์ทางเศรษฐกิจจะต้องมีความถูกต้อง เชื่อถือได้ และมีความเป็นวิทยาศาสตร์ที่สามารถตรวจสอบได้
***”โต้ง” ยันยังไงก็ไม่ออก
ขณะที่นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯ และ รมว.คลัง กล่าวเมื่อวานนี้ถึงกระแสข่าวเรียกร้องจากหลายฝ่ายให้มีการปลดตนออกจากตำแหน่งว่า ไม่ขอแสดงความคิดเห็นบนความคิดเห็นของคนอื่น พร้อมทั้งยืนยันว่าตนยังอยู่ร่วมในคณะรัฐมนตรีต่อไป นอกจากนี้ การโยกย้ายข้าราชการกระทรวงการคลังเมื่อวานนี้ ไม่ได้ทำเพราะเตรียมวางมือแต่อย่างใด
พร้อมยืนยันถึงการเดินทางไปต่างประเทศเมื่อวาน เป็นการเดินทางไปเพื่อเป็นการเจรจาทางการค้าเท่านั้น ไม่ได้มีการหารือกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
"ผมไม่ได้คุยกับท่านทักษิณ เมื่อวานนี้(27สิงหาคม) ผมไปต่างประเทศ เพื่อเตรียมเจรจาการค้า "นายกิตติรัตน์กล่าว
***ประธาน ส.อ.ท.ชี้ ไม่กระทบเชื่อมั่น
นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวถึงกรณีที่ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ออกมายอมรับว่า พูดโกหกสีขาว (White lie) เกี่ยวกับตัวเลขการส่งออก น่าจะเป็นเป้าหมายการทำงานที่ท้าทาย เพื่อกระตุ้นให้ทุกภาคส่วนทำงานอย่างเต็มที่ เป็นเจตนาที่ดี ไม่ใช่เรื่องที่น่าวิตกกังวล และไม่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน เนื่องจากผู้ประกอบการส่วนใหญ่จะวิเคราะห์ตัวเลขการส่งออก และผลกระทบของตัวเองอยู่แล้ว
"การที่ท่านพูดว่า ตัวเลขการส่งออกที่รัฐบาลตั้งเป้าไว้ว่าจะขยายตัวได้ร้อยละ 15 เป็นการไวต์ลาย หรือการโกหกสีขาวนั้น ไม่น่าจะมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการ เพราะการกำหนดตัวเลขการส่งออกที่ร้อยละ 15 เป็นการวางเป้าหมายที่ท้าทายเพื่อให้เกิดความพยายามในการทำงาน ซึ่งผู้ประกอบการมีการประเมินตัวเลขโดยใช้ข้อมูลจากหลายด้านประกอบการทำธุรกิจอยู่แล้ว"
ตอนนี้ นักลงทุนต่างชาติก็ยังคงสนใจที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยต่อเนื่อง เพราะมีความพร้อมในเรื่องของ Supply Chain ส่วนการส่งออกในช่วงครึ่งปีหลังนั้นยอมรับว่าเป็นเรื่องที่เหนื่อย ซึ่งผู้ประกอบการจะต้องใช้ความพยายามให้เต็มที่ ทั้งการหาตลาดใหม่ การลดต้นทุนการผลิต และการรักษามาตรฐานสินค้าเพื่อรักษาฐานตลาดเดิมไว้
ทั้งนี้ ตัวเลขการส่งออกในปีนี้จะเติบโตได้เพียงร้อยละ 9 หรือไม่นั้นยังไม่สามารถประเมินได้ ซึ่งต้องรอดูความชัดเจนในไตรมาสที่ 3 ก่อน
** รัฐบาลโกหกสีขาว 19 เรื่อง
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ประธานวิปฝ่ายค้าน กล่าวว่า ในการประชุมสภาวันที่ 30 ส.ค.นี้ ฝ่ายค้านจะตั้งกระทู้สด สอบถามเรื่องโกหกสีขาว ต่อ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ที่เคยออกมาระบุว่า ตัวเลขการส่งออกจะเติบโตถึงร้อยละ 15
ล่าสุดในงาน 1 ปีงานยิ่งลักษณ์กับเศรษฐกิจไทย ก็ยอมรับแล้วว่าการคาดการณ์ มีความจำเป็นต้องมีการโกหกสีขาว และมีผู้อนุญาตให้ทำได้ เห็นว่าเรื่องนี้ส่งผลกระทบอย่างยิ่งในการทำลายความน่าเชื่อถือของทีมเศรษฐกิจ และรัฐบาล ตลอดจนกระทบต่อความเชื่อมั่นของประเทศ และตัวจริยธรรมของข้าราชการนักการเมือง ขัดต่อระเยียบสำนักนายกฯ ในจริยธรรม ข้อ 6 (7) ที่ข้าราชการการเมือง เจ้าหน้าที่ ต้องให้ข้อมูลที่ถูกต้อง ไม่บิดเบือนต่อประชาชน และข้อที่ 15 ต้องให้ข้อมูลที่ไม่เกิดความเข้าใจผิดของตนเอง และผู้รับ
อย่างไรก็ตาม เรื่องโกหกสีขาวยังมีอีกหลายเรื่องที่รัฐบาลทำไว้ จะได้รวบรวมและทยอยเสนอต่อสาธารณะให้รับทราบ ซึ่งขณะนี้รวบรวมได้แล้ว 19 เรื่อง และจะได้ชี้แจงเป็นครั้งๆไป ภายหลังการประชุมวิปฝ่ายค้านครั้งละ 3-4 เรื่อง ในหัวข้อ 1 ปีรัฐบาลยิ่งลักษณ์ กับโกหกสีขาว 19 เรื่อง ในพฤติกรรมการบริหารแผ่นดิน
ส่วนจะมีการยื่นเอาผิด ตามประมวลจริยธรรม รวมไปถึงการยื่นถอดถอน นายกิตติรัตน์ หรือไม่นั้น ขณะนี้ฝ่ายค้านอยู่ในระหว่างการรวบรวมข้อมูล ซึ่งเท่าที่ทราบ ในส่วนของภาคประชาชนก็ได้ยื่นไปแล้ว
**ซัด'ปึ้ง"โมเมตัวเลขปั่นราคารัฐบาล
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ตำหนิการแถลงผลงานของ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ ที่อ้างว่าการค้าการลงทุนระหว่างประเทศเพิ่มมากขึ้น ทั้งที่ไม่ใช่งานของกระทรวงการต่างประเทศโดยตรง และเมื่อตรวจสอบพบว่านายสุรพงษ์ แถลงว่า ปริมาณการค้าของไทยกับหลายประเทศเพิ่มขึ้น เช่นจีน เพิ่มขึ้น 16.98 % ญี่ปุ่นเพิ่ม 12.38 % นั้นพบว่าการค้าที่นายสุรพงษ์พูดถึงนั้น มีการนำตัวเลขส่งออกและนำเข้าบวกรวมกันแล้วเปรียบเทียบกับปีที่แล้วทำให้ตัวเลขสูงขึ้น แต่ไม่ได้ดูว่าตัวเลขที่สุงขึ้นคือนำเข้า เราขาดดุลเพิ่มขึ้น 158 % นายสุรพงษ์ หน้าด้านมากที่บอกการค้าเพิ่มขึ้น 16.98 % เพราะมีการขาดดุลเพิ่มจากปี 2554 ถึง 158 % ส่วนตัวเลขของประเทศญี่ปุ่นนั้นพบว่าอัตราการค้าเพิ่มขึ้น 12.8 % ไทยขาดดุลเพิ่มขึ้น 74 % แสดงว่ากระทรวงการต่างประเทศยุคนายสุรพงษ์ เก่งในการซื้อของจากต่างประเทศ จึงไม่รู้ว่าโง่จริงหรือแกล้งโง่ ว่าการขาดดุลการค้าทำให้ชาติเสียประโยชน์แต่กล้าเอามาเป็นผลงาน อีกทั้งยังถือว่าเป็นเรื่องที่น่าละอายสำหรับ รมว.คลัง ที่พูดจาโกหก แล้วยังมี รมว.ต่างประเทศ พูดความจริงครึ่งเดียว มีกระทรวงพาณิชย์ ที่ไม่พูดความจริงเลย ซึ่งในวันนี้ รมว.พาณิชย์ เพิ่งยอมรับว่าการส่งออกไม่เกิน 8 % หรือ 7.9 % ขณะที่สัปดาห์ที่แล้ว ยังระบุว่า 15 % แสดงว่ารู้อยู่แล้ว แต่รวมหัวกันหลอกคนไทย ถือเป็นรัฐบาลหน้าทนที่ไม่รับผิดชอบต่อคำพูดของตัวเอง
** แฉ "ปึ้ง" ปล่อยไก่
นอกจากนี้ นายสุรพงษ์ ยังขาดความรู้ความเข้าใจและมีการนำผลงานของรัฐบาลที่แล้วมาเป็นผลงานตัวเอง โดยยกตัวย่างกรณีที่กล่าวหาว่ารัฐบาลที่แล้วมีปัญหากับพม่า จนปิดด่านที่เมียวดี แต่รัฐบาลนี้เปิดด่านได้ ทั้งที่เรื่องนี้เป็นการเมืองภายในพม่าที่มีปัญหาชนกลุ่มน้อยจึงปิดด่านเพื่อป้องกันการขนส่งอาวุธ เสบียงให้กลุ่มที่ต่อต้านรัฐบาล ไม่เกี่ยวกับรัฐบาลไทย และการเปิดด่านก็ไม่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลชุดนี้ แต่เป็นการเจรจาการเมืองภายในของพม่า จึงไม่อยากให้นายสุรพงษ์ปล่อยไก่
ส่วนที่บอกว่าความสัมพันธ์ไทยกัมพูชาดีขึ้นนั้น เป็นเรื่องจริงเพราะรัฐบาลไปยกประโยชน์ให้กัมพูชาในหลายเรื่อง ทั้งเรื่องการให้กัมพูชาเป็นประธานการประชุมกรรมการมรดกโลก ทำให้กัมพูชาได้เปรียบมีสิทธิได้อธิปไตยไทยไป ถ้าถือว่าเป็นผลงานให้จารึกชื่อนายสุรพงษ์ ว่าใครจะทำให้ประเทศเสียดินแดน เสียพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารให้กัมพูชาอย่างถาวร
นายสุรพงษ์ ยังแอบอ้างการเปิดโครงการท่าเรือน้ำลึกทวายกับพม่า ว่าเป็นความสำเร็จของรัฐบาลนั้นถือเป็นเรื่องที่น่าไม่อาย เพราะเรื่องนี้เป็นการผลักดันของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่มีการเจรจากับพม่าให้บริษัทของไทยได้เข้าไปลงทุน จนมีความคืบหน้าให้รัฐบาลชุดนี้มาต่อยอด แต่นายสุรพงษ์ กล้า และด้านพอที่จะแอบอ้างว่าเป็นผลงานของตัวเอง