หลังจากที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ออกมาปั้นจิ้มปั้นเจ๋อเรียกร้องให้สังคมไทยมีคุณธรรม จริยธรรม และช่วยกันปราบปรามการทุจริต คอร์รัปชัน นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังก็ออกมาเรียกร้องให้หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนให้ความร่วมมือในการแก้ปัญหาคอร์รัปชัน เพราะที่ผ่านมา ปัญหาทุจริตบั่นทอนการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย
เสียงเรียกร้องของนายกิตติรัตน์ให้ช่วยกันปราบคอร์รัปชันเกิดขึ้นหลังจากที่นายกิตติรัตน์ยอมรับว่า เขาได้โกหกในเรื่องตัวเลขการส่งออกที่บอกว่าเป้าหมายอยู่ที่ 15 เปอร์เซ็นต์ ในฐานะที่เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจได้รับอนุญาตให้พูดไม่จริงได้ในบางเรื่องที่เรียกกันว่า โกหกสีขาว เพราะหากพูดความจริงว่าการส่งออกจะทำได้ไม่ถึง 15 เปอร์เซ็นต์ จะทำให้ความมั่นใจของนักลงทุนมีปัญหาแน่นอน
การโกหกโดยได้รับอนุญาตของนายกิตติรัตน์จะทำให้นักลงทุนเกิดความมั่นใจ หรือจะเกิดความเสียหายต่อการตัดสินใจในการลงทุนหรือไม่ อย่างไรคงจะปรากฏในอีกไม่นานนี้ แต่ที่เสียหายมากๆ ก็คือรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ตัวนางสาวยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรี นายกิตติรัตน์ รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และรัฐมนตรีร่วมรัฐบาล
ไม่มีใครรู้ว่าที่รัฐบาลบริหารบ้านเมืองมา 1 ปี ไม่มีใครรู้ว่า เรื่องใดจริง เรื่องใดโกหก ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในบ้านนี้เมืองนี้จะแก้ไขอย่างไร ประเทศชาติของเราจะเดินหน้าไปทางไหน เพราะเอาสาระเอาแก่นสารอันใดมิได้เลยกับรัฐบาลชุดนี้
คงจำกันได้ว่าหลังรัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เสียงเรียกร้องประชาธิปไตยก็กระหึ่มขึ้นจากประชาชนส่วนหนึ่งกดดันให้นายอภิสิทธิ์ ตัดสินใจยุบสภาเลือกตั้งใหม่วันที่ 3 กรกฎาคม 2554 และได้นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรี หลังจากนั้นเสียงเรียกร้องประชาธิปไตยก็สงบลง สงครามไพร่กับอำมาตย์ยุติลง ประหนึ่งว่าประเทศชาติของเราเป็นประชาธิปไตยแล้ว ไพร่/อำมาตย์หมดไปแล้ว
แต่ความเป็นจริงก็คือ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ประสีประสาในทางการเมือง เข้าร่วมประชุมสภานับครั้งได้ พยายามที่จะหลีกเลี่ยงการประชุม เลี่ยงที่จะตอบกระทู้ถาม ตอบคำถามนักข่าวชนิดที่รู้บ้างไม่รู้บ้าง แสดงความตื้นเขินทางสติปัญญาออกมาบ่อยครั้ง แต่กลายเป็นว่า ความไร้เดียงสาของนางสาวยิ่งลักษณ์เป็นความน่ารัก น่าเอ็นดู น่าถนอมรักจนผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมเคลิ้มตาม เห็นได้จากการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน นางสาวยิ่งลักษณ์ก็จะได้คะแนนนิยมสูงลิ่ว ทั้งที่ในความเป็นจริงผู้คนในสังคมก็เห็นกันอยู่ว่า 1 ปีที่ผ่านมา งานสำคัญของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์คือ ความพยายามที่จะช่วยเหลือทักษิณ ชินวัตร พี่ชายของเธอให้กลับประเทศไทยโดยที่ไม่ต้องติดคุก และให้ได้ทรัพย์สมบัติที่ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาให้ยึดเป็นสมบัติของแผ่นดิน 4.6 หมื่นล้านบาทคืน
ขณะเดียวกับที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ออกมาเรียกร้องให้ช่วยกันปราบปรามการคอร์รัปชัน
ก็คนที่ศาลตัดสินจำคุกเพราะผิดกฎหมาย ป.ป.ช.รัฐบาลนี้นอกจากไม่ตามตัวมาติดคุกแล้วยังให้ความช่วยเหลือด้วยการคาบหนังสือเดินทางไปให้ และพยายามที่จะล้างผิดให้ด้วยการเสนอกฎหมายปรองดอง ด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
แต่สังคมส่วนใหญ่ก็ยังเพิกเฉยมึนชา ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการ สื่อสารมวลชน ปัญญาชนในรั้วมหาวิทยาลัย บ้านเมืองจะเดินหน้าไปสู่หุบเหวแห่งหายนะอย่างไร ก็ไม่สนใจ
การออกมารับสารภาพว่า ได้รับอนุญาตให้พูดไม่จริง ให้พูดโกหกของนายกิตติรัตน์ แม้จะเป็นเรื่องที่ท้าทายต่อจริยธรรม คุณธรรมของผู้ที่กุมอำนาจบริหารบ้านเมือง ก็เชื่อเถอะว่า สังคมที่ถูกฉีดยาให้เพิกเฉยต่อคุณธรรม จริยธรรมก็จะเพิกเฉย ไม่รู้สึกรู้สา ต่อไป
นี่เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง
เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงเช่นเดียวกับที่เคยมีการสำรวจพบว่า ถ้าหากจะมีการทุจริต มีการคอร์รัปชันบ้างก็ไม่เป็นไร ถ้าหากการทุจริต คอร์รัปชันนั้น มีผลมาถึงประชาชนบ้าง เพราะการทุจริต การคอร์รัปชันนั้นเป็นเรื่องปกติ เป็นเรื่องธรรมดา เป็นปกติของนักการเมืองของเรา ใครมาเป็นรัฐบาลก็ทุจริต คอร์รัปชัน
ใครมาเป็นรัฐบาลก็โกหกตอแหลกันทั้งนั้น เพราะฉะนั้นจะเป็นไรไปถ้าหากรัฐบาลนี้จะโกหก จะตอแหล จะทุจริตบ้าง
คุณธรรม จริยธรรมที่นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี เรียงหน้ากันออกมาพูด และเรียกร้องให้สังคมปลูกฝังให้เกิดขึ้นเป็นเรื่องตลกแต่ขำไม่ออก เป็นเรื่องไร้สาระ ไร้แก่นสารเป็นอันตรายต่ออนาคตของประเทศชาติ เป็นความตกต่ำชนิดที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นในโลกที่วิวัฒนาการมาถึงพ.ศ. 2555
ถ้าหากย้อนไปในยุคสมัยที่เรายังอยู่ป่าอยู่ถ้ำ นั่นก็ว่าไปอย่าง จะไม่สงสัยเลยที่สังคมของเราจะอยู่กับการโกหกตอแหลไร้สาระของรัฐบาลได้ แต่นี่เป็นพ.ศ. 2555 เป็นยุคโลกาภิวัตน์ เป็นยุคสมัยที่การสื่อสาร การคมนาคมเจริญก้าวหน้า
สังคมของเรากลับย้อนยุคอยู่ได้กับความมดเท็จ ปลิ้นปล้อน ตลบตะแลง ตอแหล
เป็นเรื่องเศร้าของบ้านนี้เมืองนี้จริงๆ
เสียงเรียกร้องของนายกิตติรัตน์ให้ช่วยกันปราบคอร์รัปชันเกิดขึ้นหลังจากที่นายกิตติรัตน์ยอมรับว่า เขาได้โกหกในเรื่องตัวเลขการส่งออกที่บอกว่าเป้าหมายอยู่ที่ 15 เปอร์เซ็นต์ ในฐานะที่เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจได้รับอนุญาตให้พูดไม่จริงได้ในบางเรื่องที่เรียกกันว่า โกหกสีขาว เพราะหากพูดความจริงว่าการส่งออกจะทำได้ไม่ถึง 15 เปอร์เซ็นต์ จะทำให้ความมั่นใจของนักลงทุนมีปัญหาแน่นอน
การโกหกโดยได้รับอนุญาตของนายกิตติรัตน์จะทำให้นักลงทุนเกิดความมั่นใจ หรือจะเกิดความเสียหายต่อการตัดสินใจในการลงทุนหรือไม่ อย่างไรคงจะปรากฏในอีกไม่นานนี้ แต่ที่เสียหายมากๆ ก็คือรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ตัวนางสาวยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรี นายกิตติรัตน์ รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และรัฐมนตรีร่วมรัฐบาล
ไม่มีใครรู้ว่าที่รัฐบาลบริหารบ้านเมืองมา 1 ปี ไม่มีใครรู้ว่า เรื่องใดจริง เรื่องใดโกหก ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในบ้านนี้เมืองนี้จะแก้ไขอย่างไร ประเทศชาติของเราจะเดินหน้าไปทางไหน เพราะเอาสาระเอาแก่นสารอันใดมิได้เลยกับรัฐบาลชุดนี้
คงจำกันได้ว่าหลังรัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เสียงเรียกร้องประชาธิปไตยก็กระหึ่มขึ้นจากประชาชนส่วนหนึ่งกดดันให้นายอภิสิทธิ์ ตัดสินใจยุบสภาเลือกตั้งใหม่วันที่ 3 กรกฎาคม 2554 และได้นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรี หลังจากนั้นเสียงเรียกร้องประชาธิปไตยก็สงบลง สงครามไพร่กับอำมาตย์ยุติลง ประหนึ่งว่าประเทศชาติของเราเป็นประชาธิปไตยแล้ว ไพร่/อำมาตย์หมดไปแล้ว
แต่ความเป็นจริงก็คือ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ประสีประสาในทางการเมือง เข้าร่วมประชุมสภานับครั้งได้ พยายามที่จะหลีกเลี่ยงการประชุม เลี่ยงที่จะตอบกระทู้ถาม ตอบคำถามนักข่าวชนิดที่รู้บ้างไม่รู้บ้าง แสดงความตื้นเขินทางสติปัญญาออกมาบ่อยครั้ง แต่กลายเป็นว่า ความไร้เดียงสาของนางสาวยิ่งลักษณ์เป็นความน่ารัก น่าเอ็นดู น่าถนอมรักจนผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมเคลิ้มตาม เห็นได้จากการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน นางสาวยิ่งลักษณ์ก็จะได้คะแนนนิยมสูงลิ่ว ทั้งที่ในความเป็นจริงผู้คนในสังคมก็เห็นกันอยู่ว่า 1 ปีที่ผ่านมา งานสำคัญของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์คือ ความพยายามที่จะช่วยเหลือทักษิณ ชินวัตร พี่ชายของเธอให้กลับประเทศไทยโดยที่ไม่ต้องติดคุก และให้ได้ทรัพย์สมบัติที่ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาให้ยึดเป็นสมบัติของแผ่นดิน 4.6 หมื่นล้านบาทคืน
ขณะเดียวกับที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ออกมาเรียกร้องให้ช่วยกันปราบปรามการคอร์รัปชัน
ก็คนที่ศาลตัดสินจำคุกเพราะผิดกฎหมาย ป.ป.ช.รัฐบาลนี้นอกจากไม่ตามตัวมาติดคุกแล้วยังให้ความช่วยเหลือด้วยการคาบหนังสือเดินทางไปให้ และพยายามที่จะล้างผิดให้ด้วยการเสนอกฎหมายปรองดอง ด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
แต่สังคมส่วนใหญ่ก็ยังเพิกเฉยมึนชา ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการ สื่อสารมวลชน ปัญญาชนในรั้วมหาวิทยาลัย บ้านเมืองจะเดินหน้าไปสู่หุบเหวแห่งหายนะอย่างไร ก็ไม่สนใจ
การออกมารับสารภาพว่า ได้รับอนุญาตให้พูดไม่จริง ให้พูดโกหกของนายกิตติรัตน์ แม้จะเป็นเรื่องที่ท้าทายต่อจริยธรรม คุณธรรมของผู้ที่กุมอำนาจบริหารบ้านเมือง ก็เชื่อเถอะว่า สังคมที่ถูกฉีดยาให้เพิกเฉยต่อคุณธรรม จริยธรรมก็จะเพิกเฉย ไม่รู้สึกรู้สา ต่อไป
นี่เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง
เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงเช่นเดียวกับที่เคยมีการสำรวจพบว่า ถ้าหากจะมีการทุจริต มีการคอร์รัปชันบ้างก็ไม่เป็นไร ถ้าหากการทุจริต คอร์รัปชันนั้น มีผลมาถึงประชาชนบ้าง เพราะการทุจริต การคอร์รัปชันนั้นเป็นเรื่องปกติ เป็นเรื่องธรรมดา เป็นปกติของนักการเมืองของเรา ใครมาเป็นรัฐบาลก็ทุจริต คอร์รัปชัน
ใครมาเป็นรัฐบาลก็โกหกตอแหลกันทั้งนั้น เพราะฉะนั้นจะเป็นไรไปถ้าหากรัฐบาลนี้จะโกหก จะตอแหล จะทุจริตบ้าง
คุณธรรม จริยธรรมที่นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี เรียงหน้ากันออกมาพูด และเรียกร้องให้สังคมปลูกฝังให้เกิดขึ้นเป็นเรื่องตลกแต่ขำไม่ออก เป็นเรื่องไร้สาระ ไร้แก่นสารเป็นอันตรายต่ออนาคตของประเทศชาติ เป็นความตกต่ำชนิดที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นในโลกที่วิวัฒนาการมาถึงพ.ศ. 2555
ถ้าหากย้อนไปในยุคสมัยที่เรายังอยู่ป่าอยู่ถ้ำ นั่นก็ว่าไปอย่าง จะไม่สงสัยเลยที่สังคมของเราจะอยู่กับการโกหกตอแหลไร้สาระของรัฐบาลได้ แต่นี่เป็นพ.ศ. 2555 เป็นยุคโลกาภิวัตน์ เป็นยุคสมัยที่การสื่อสาร การคมนาคมเจริญก้าวหน้า
สังคมของเรากลับย้อนยุคอยู่ได้กับความมดเท็จ ปลิ้นปล้อน ตลบตะแลง ตอแหล
เป็นเรื่องเศร้าของบ้านนี้เมืองนี้จริงๆ