ผ่าประเด็นร้อน
การให้สัมภาษณ์ล่าสุดของรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กิตติรัตน์ ณ ระนอง ที่ประกาศระหว่างร่วมงานสัมมนา “THAILAND FOCUS 2012” ภายใต้หัวข้อ “ประเทศไทยกับการเตรียมตัวสู่การเติบโตครั้งใหม่” เมื่อวันก่อนว่าจะเดินหน้าโครงการประชานิยมอย่างเต็มสูบ ขณะเดียวกันยังได้เปิดเผยว่าจะเร่งกู้เงินจำนวนกว่า 2 ล้านล้านบาทสำหรับโครงการลงทุนขั้นพื้นฐาน นัยว่าเป็นการส่งเสริมการก้าวกระโดดครั้งใหญ่ของประเทศกันเลยทีเดียว
กิตติรัตน์ยังยืนยันว่า การกู้เงินจำนวนมหาศาลดังกล่าวจะไม่ทำให้จำนวนหนี้สาธารณะเลยเถิดเกินกว่าร้อยละ 60 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (จีดีพี) ขณะเดียวกันจะเร่งสนับสนุนการเติบโตภายในประเทศผ่านทางโครงการประชานิยมอย่างเต็มที่ โดยยืนยันว่านี่คือการสร้างความเข้มแข็ง เพิ่มกำลังซื้อให้กับชาวบ้าน แทนการขยายตัวทางเศรษฐกิจด้วยการพึ่งพาการส่งออกเป็นหลักเหมือนอย่างในอดีต
คำพูดของ “ขุนคลัง” ที่สวมหมวก “หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ” ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เชื่อว่าทำให้หลายคนต้องอึ้ง ทึ่ง เสียวเป็นแน่ เพราะก่อนหน้านี้ไม่นานกิตติรัตน์เพิ่งยอมรับว่าเขาเพิ่ง “โกหกสีขาว” ยอมรับว่าเป้าหมายส่งออกทั้งปีของไทยจะขยายตัวร้อยละ 15 นั้นเป็นทำไม่ได้ แต่ต้องการกระตุ้นให้เกิดความเชื่อมั่นกับนักลงทุนเท่านั้น แต่ยังยืนยันว่าทำได้แค่ร้อยละ 9 กว่าๆ ขณะที่ภาคเอกชนกลับให้แค่ร้อยละกว่า 7 เท่านั้น ซึ่งถึงนั้นไม่รู้ว่าจะต้อง “หลั่งน้ำตา” กับนักลงทุนเพื่อสารภาพผิดอีกหรือเปล่า
เพราะหากพิจารณาตั้งข้อสังเกตก็จะเห็นความจริงที่พลิกแพลงของฝ่ายรัฐบาล นั่นคือเมื่อเห็นว่าเป้าหมายการส่งออกเป็นได้แค่ฝันแล้ว หากกล่าวด้วยความเป็นธรรมก็ต้องบอกว่าเป็นผลมาจากวิกฤติภายนอก แต่ที่น่าหมั่นไส้ก็คือดันโม้เอาไว้มาก ทำให้ภาคเอกชน นักลงทุนประเมินสถานการณ์ผิดพลาดตามไปด้วย เพราะเชื่อขี้ปากรัฐบาล
มาวันนี้เมื่อเป้าส่งออกทำไม่ได้ดังกล่าวทำให้ต้องมามุกใหม่นั่นคือ ต้องมาเน้นการใช้จ่ายภายในประเทศ โดยอ้างว่าจะมาหวังการส่งออกเหมือนในอดีตไม่ได้แล้ว และการกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าวก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการใช้จ่าย “โปรย” ผ่าน “ประชานิยม” ทุกรูปแบบ ซึ่งมีทั้งโครงการรถคันแรก บ้านหลังแรก พักหนี้ ค่าแรงวันละ 300 บาท จิปาถะ และเมื่อรวมกับเงินกู้ที่กำลังจะเร่งดำเนินการอีกไม่นานข้างหน้าอีกกว่า 2 ล้านล้านบาทสำหรับใช้ในการก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ทั้งระบบราง และระบบน้ำที่มีโครงการกู้ไปก่อนแล้วจำนวน 3.5 แสนล้านบาท ก็ถือว่า “มหาศาล”
อย่างไรก็ดี ขณะที่กำลังฟังเหตุผลจากหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ กิตติรัตน์ ณ ระนอง กำลังจะเคลิบเคลิ้ม แต่ดันได้เห็นข่าวผลสำรวจบรรดานักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำของกรุงเทพโพลล์สะท้อนออกมาให้เห็นถึงความล้มเหลวและไม่คุ้มค่าของโครงการประชานิยมที่ล้วนแล้วแต่สวนทางกับความคิดของคนในรัฐบาลชุดนี้ ที่กำลังจะเดินเครื่องกันเต็มสูบ
เพราะข้อสรุปของบรรดานักเศรษฐศาสตร์ดังกล่าวเสียงส่วนใหญ่ต่างมองเห็นตรงกันว่ายิ่งเดินหน้าประชานิยมมากเท่าไรก็ยิ่งหายนะมากเท่านั้น และที่สำคัญยังเห็นว่าโครงการประชานิยมที่เลวร้ายมากที่สุดก็คือโครงการ “จำนำข้าว” ซึ่งก็เป็นโครงการหลักเป็น “ทีเด็ด” ของรัฐบาล ของพรรคเพื่อไทย และของ ทักษิณ ชินวัตร ที่เป็นเจ้าของคนพวกนี้อีกทีหนึ่ง เพราะยิ่งจำนำมากก็ยิ่งขาดทุนมาก ยิ่งทุจริตมาก ซึ่งสองฤดูกาลที่รับจำนำ (หรือรับซื้อ) ข้าวทุกเมล็ดหมายถึงการขาดทุนกว่าสองแสนล้านบาทแล้ว
นี่ยังไม่นับรวมโครงการประชานิยมอื่นๆ ที่ล้วนแล้วมีแต่รายจ่าย และรั่วไหล แม้ว่าในระยะอาจดูเหมือนว่าเป็นการเพิ่มการใช้จ่ายของประชาชนเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจภายใน แต่ในเมื่อมันมีแต่รายจ่ายไม่สมดุลกับรายรับที่นับวันมีแต่ขาดทุนเพิ่มขึ้น
ที่สำคัญหัวหน้าโครงการที่นำโดย กิตติรัตน์ ณ ระนอง เวลานี้กลายเป็น “นักเล่านิทานโกหก” หมดสภาพความน่าเชื่อถือลงไปทุกวัน ดังนั้นการประกาศว่าจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนด้วยการกู้เงินอย่างขนานใหญ่ และเดินหน้าโครงการประชานิยมที่มีเสียงท้วงติงดังขึ้นเรื่อยๆ ว่าล้มเหลว และนำไปสู่หายนะ ทำให้นึกไม่ออกว่านี่คือการสร้างความเชื่อมั่นแบบไหนกันแน่!!