ผ่าประเด็นร้อน
ค่อนข้างแน่นอนแล้วว่า กิตติรัตน์ ณ ระนอง ไม่มีทางสนใจต่อความรู้สึก หรือเสียงเรียกร้องใดๆ ของชาวบ้านและภาคเอกชนที่เป็นนักลงทุน สะท้อนผ่านผลสำรวจที่ผ่านมาให้เขาลาออกจากกรณี “โกหกสีขาว” เนื่องจากยังมั่นใจว่านายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยังให้การสนับสนุนเขาให้ทำหน้าที่เป็น “หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ” ต่อไป
เพราะเมื่อพิจารณาจากท่าทีล่าสุดของนายกรัฐมนตรี ก็ทำให้เข้าใจอย่างนั้นได้จริงๆ เนื่องจากยังไม่มีอะไรบอกเหตุว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงใดๆออกมา
กลายเป็นว่าไม่ว่าจะมีแรงกดดันเข้ามาทั้งจากภายในหรือภายนอกเข้ามามากแค่ไหนเก้าอี้และสถานะของกิตติรัตน์ในรัฐบาลก็ยังมั่นคงไม่มีทางเปลี่ยนแปลง เพราะจะว่าไปแล้ว ยิ่งลักษณ์ได้ฝากความหวังในเรื่องเศรษฐกิจไว้กับเขาอย่างเต็มเปี่ยมแล้ว ขณะเดียวกันต่างฝ่ายก็ต้องพึ่งพาซึ่งกันและกัน ไม่มีทางแยกจากกันได้ง่ายๆ
แต่ขณะเดียวกัน หากพิจารณากันให้ดีก็จะพบว่า คนอย่างกิตติรัตน์นี่แหละที่สามารถ “ต่อยอด” ขายฝันจากโครงการประชานิยมได้ดีที่สุด และทำตามคำสั่ง “นาย” ได้ทุกเรื่องแบบไม่หือไม่อือ ตั้งแต่เมื่อครั้งที่อยู่ตลาดหลักทรัพย์ ข่าวคราวในเรื่องปั้นตัวเลข แต่งบัญชี มักเป็นเรื่องขึ้นชื่อลือชามานาน
หากให้เห็นภาพถึง “การรับใช้” ก็ต้องย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่มีแนวคิดนำ “ทุนสำรอง” ส่วนหนึ่งมาตั้งเป็นกองทุนชื่อสวยหรูว่า “กองทุนความมั่นคั่ง” มาเปรียบเทียบระหว่างคนสองคน คือ กิตติรัตน์ กับ ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ที่เป็นอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งจะว่าไปแล้วทั้งคู่ก็ถือเป็นคนที่ “นายใหญ่” อย่าง ทักษิณ ชินวัตร ให้ความไว้วางใจ แต่ถ้าต้องแสดงจุดยืนเพื่อความถูกต้องเป็นตัวของตัวเอง คนอย่าง ธีระชัย เมื่อถึงเวลาก็พร้อมชนโดยไม่เกรงใจจนต้องพ้นทางออกนอกวงโคจรมาถึงทุกวันนี้ ขณะที่ กิตติรัตน์ กลับตรงกันข้าม เดินหน้ากระชับอำนาจให้ตัวเองอย่างเต็มที่
แต่ถ้าถามว่าผลงานที่ผ่านมาภายใต้การกำกับดูแลของตัวเองในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจอย่างเบ็ดเสร็จมีอะไรที่สำเร็จบ้าง นอกเหนือจากเรื่องเป้าหมายการส่งออกที่กลายเป็นเรื่อง “โกหก” ลดทอนความเชื่อมั่นทั้งในและต่างประเทศแล้ว ก็มีเรื่องโครงการจำนำข้าวที่ทำให้รัฐต้องขาดทุนไปแล้วนับแสนล้านบาท และจะเพิ่มมากขึ้นอีกหากยังไม่หยุด พักหนี้ดีรายย่อย รถคันแรก บ้านหลังแรก แม้ว่านี่คือประชานิยมที่ชาวบ้านอาจจะชอบและเสพติดจนเลิกไม่ได้ แต่ก็ต้องแลกมาด้วยเงินงบประมาณที่ต้องนำไปอุดหนุนจำนวนมาก มีแต่รายจ่ายไม่สอดคล้องกับรายได้
ทุกเรื่องที่อยู่ในความรับผิดชอบดูแลทางด้านเศรษฐกิจของกิตติรัตน์ ถือว่าล้มเหลวในทุกอย่าง และเมื่อสะท้อนความรู้สึกของชาวบ้านผ่านทางผลสำรวจที่ออกมาล้วนตรงกันว่า “หมดศรัทธา” และนับวันจะยิ่งรุนแรงมากขึ้น เพราะกลายเป็นว่าเป็นชื่อที่ติดตลาดไปแล้ว ต่อเชื่อได้เลยว่าในอนาคตผลจะออกมาแบบนี้อีก
อย่างไรก็ดี สำหรับเขาแล้วนาทีนี้รับรองว่าไม่มีวันยี่หระ เก้าอี้ไม่มีวันสะเทือน เพราะสถานะของกิตติรัตน์ เวลานี้มีอำนาจและบทบาทไม่ต่างจาก “นายกรัฐมนตรีตัวจริง” การขับเคลื่อนนโยบายทางด้านเศรษฐกิจและการคลังขึ้นอยู่กับคนๆนี้เพียงคนเดียว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรทุกอย่างต้องผ่านมือ โดยเฉพาะนโยบายรัฐบาลที่สำคัญ แต่ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งยิ่งมีความรับผิดชอบดูแลมากขึ้นเท่าใด มันก็สะท้อนให้เห็นถึงหายนะตามมามากขึ้นเป็นเงาตามตัว ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้เห็นประจักษ์ชัดกันดีอยู่แล้วจากสารพัดโครงการที่มีแต่รายจ่าย และทำให้รัฐขาดทุนมหาศาล
แต่ที่น่าสนใจก็คือ ท่าทีที่เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เปลี่ยนแปลงไปจากวันที่พูดยอมรับในเรื่องสาเหตุที่ต้อง “โกหกสีขาว” ที่อ้างว่าต้องพูดแบบนั้นเพื่อสร้างแรงกระตุ้นและได้รับอนุญาตให้โกหกได้ในบางเรื่อง แต่มาวันนี้กลายเป็นว่ากำลังกลายเป็นตรงกันข้าม คนละอารมณ์เป็น “ดันทุรัง” กล่าวโทษคนอื่น หาว่า “สื่อนำมาขยายผลบิดเบือน” จนผิดความหมาย ซึ่งท่าทีแบบนี้ยิ่งนับว่าอันตรายกว่าเดิมหลายเท่า เพราะครั้งก่อนยอมรับว่าโกหก แต่คราวนี้นอกจากไม่ยอมรับว่าโกหกแล้วยังปฏิเสธถึงความล้มเหลวจากผลงานของตัวเองเสียอีก ขณะเดียวกันยังกล่าวโทษคนอื่น นี่แหละถึงได้บอกว่าลางหายนะกำลังมาเยือน ซึ่งในที่สุดแล้ว ชาวบ้านก็จะรับกรรมเช่นเดิม!!