ผบ.ทบ.ยันกองทัพไร้ปัญหาโยกย้าย โยนกลาโหมจัดการโผเอง เชื่อพี่น้องกันคุยได้ แต่แย็บจะเอาใครไปนั่ง ผบ.ทัพต้องเห็นชอบด้วย รับไม่ชัดระเบียบปลัด กห.กำหนดเฉพาะจอมพลนั่งหรือไม่ จวกพวกไม่หวังดีร่อนใบปลิวด่า คาดฝีมือลูกน้องป้องนาย สับอย่าคิดไปเองว่าเหมาะสมเก้าอี้ไหน แนะอย่าตีข่าวใหญ่ ถามเอี่ยวทำจีดีพีตกมั้ย ปัดมีวิ่งเต้นการเมือง แต่ขู่หลังบ้านมีปัญหาจะถ่วงความเจริญสามีได้ วอนพวกแสวงหาประโยชน์เลิกทำเวรกรรมชาติ เตือนเงินทองจะไม่ได้ใช้
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง"พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา"ให้สัมภาษณ์
วันนี้ (27 ส.ค.) ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จ.สมุทรปราการ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีปัญหาการแต่งตั้งปลัดกระทรวงกลาโหมคนใหม่ว่า สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมเทียบได้เป็นหน่วยการบังคับบัญชาในระดับนโยบาย ซึ่งตนรับผิดชอบในส่วนของกองทัพบก สำหรับการปรับย้ายของกองทัพบกนั้นผ่านขั้นตอนของคณะกรรมการแล้ว โดยตนได้ตรวจสอบและตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว ซึ่งขั้นตอนต่อไปจะเข้าสู่กระบวนการของคณะกรรมการพิจารณาปรับย้ายของกระทรวงกลาโหมโดยจะมีการประชุมเร็วๆ นี้ ในส่วนของกองทัพบกไม่มีปัญหา ส่วนปัญหาที่เกิดขึ้นถือเป็นเรื่องของกระทรวงกลาโหมที่ตามระเบียบจะต้องพูดคุยกัน และต้องดูหลายอย่าง ทั้งคำสั่ง พ.ร.บ. และความเหมาะสม เป็นพี่เป็นน้องกันสามารถพูดคุยกันได้ไม่มีปัญหาอะไร ซึ่งทางกระทรวงกลาโหมถือเป็นหน่วยที่สูงกว่าและมีอำนาจในการที่จะเอาใครก็ได้ในเหล่าทัพไปอยู่ไหนก็แล้ว แต่ทั้งนี้จะต้องได้ความเห็นชอบจาก ผบ.เหล่าทัพด้วย
เมื่อถามว่า พล.อ.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน ผู้ช่วย ผบ.ทบ. เหมาะสมนั่งในตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหมหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เมื่อขึ้นมาถึงระดับ พล.อ.ก็มีความเหมาะสมทั้งนั้น ทั้งเรื่องคุณวุฒิและวัยวุฒิ แต่หากนำไปเทียบกับ พล.อ.ชาตรี ทัตติ รองปลัดกระทรวงกลาโหม ก็มีอยู่หลายด้าน อย่างแรกก็จะต้องดูว่าครองยศในอัตราอะไร รวมถึงความอาวุโสรุ่นพี่รุ่นน้อง ซึ่งมีหลายอย่างตามระเบียบที่เขียนไว้ แต่ยังไม่แน่ชัดต้องกลับไปดูระเบียบใหม่อีกทีว่าให้เอาอัตราจอมพล หรือ พล.อ. หรือต้องกำหนดว่าจะต้องเป็นอัตราจอมพลอย่างเดียว ตนก็ไม่แน่ใจ แต่ถ้าในระเบียบระบุว่าจะต้องเป็นอัตราจอมพลอย่างเดียวก็ชัดเจนว่า พล.อ.ธรรมดาไปไม่ได้ แต่ถ้าเขียนคุมเครือก็จะต้องเป็นเรื่องของคณะกรรมการจะต้องพูดคุยกัน
เมื่อถามถึงกรณีมีการแจกจ่ายใบปลิวโจมตีแต่งตั้งโยกย้ายนายทหาร พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า มีคนไม่หวังดี เพราะในกองทัพมี 2 แสนกว่านาย ตนคิดว่าคนที่เป็นผู้บังคับบัญชาระดับสูง และมียศถึงนายพลไม่น่าจะเป็นผู้กระทำ เพราะต้องมีความละอายใจ คนที่จะทำคงเป็นลูกน้องที่หวังดีต่อนาย ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง โดยทหารมีช่องทางอยู่แล้วคือการร้องทุกข์เป็นลายลักษณ์อักษรว่าไม่ได้รับความยุติธรรมถึงผู้บังคับบัญชา และก็จะนำไปพิจารณา ซึ่งแต่งตั้งแล้วไม่เหมาะสมก็จะชดเชยเยียวยา ถ้าครั้งนี้ไม่ได้ก็รอครั้งหน้า
“อย่าคิดว่าตัวเองเหมาะสมกับตำแหน่งอะไร เหมาะสมแล้วว่าจะเป็น พล.ท. หรือ พล.อ. หรือจะต้องอยู่ตำแหน่งโน้นตำแหน่งนี้ คนที่จะดูไม่ใช่ตัวเองแต่เป็นผู้บังคับบัญชา เพื่อนร่วมงาน และผู้ใต้บังคับบัญชา ซึ่งทั้ง 3 อย่างจะเป็นตัวตรวจสอบการที่จะแต่งตั้งคนใดคนหนึ่งขึ้นมา ถึงแม้ว่าหน่วยรองจะเสนอขึ้นมาแล้วก็ตาม เช่น ผมจะให้คนไปตรวจสอบว่าเขาอยู่ในหน่วยเป็นอย่างไร เพราะเราไม่ได้อยู่ด้วยกัน มาจากหลายที่ ทั้งกองทัพภาคที่ 1-2-3-4, นปอ., นสศ., และกรมอีก 10 กว่ากรม ผมไปรู้นิสัยใจคอของเขาไม่ได้ทั้งหมด แต่ถ้าเป็นหน้าตาผมพอรู้ แต่ถ้าเป็นชีวิต ความซื่อสัตย์สุจริต การปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาเป็นอย่างไรจะต้องใช้ระยะเวลา ดูย้อนหลังไปเป็นปี และการเจริญเติบโตมาในแต่ละขั้น จะเป็น พล.ต. พล.ท. และ พล.อ.ได้จะต้องใช้ระยะเวลา คนที่เป็นนายพลได้จะต้องระยะเวลา 30 กว่าปี ผมมายืนอยู่ตรงนี้ได้ก็เริ่มต้นตั้งแต่ ปี 2519 และปัจจุบันปี 2555 กี่ปีแล้วถึงได้มายืนอยู่ตรงนี้ ฉะนั้นทุกคนมีประสบการณ์ มีการเรียนรู้และผ่านอะไรมามากมาย ทั้งสิ่งที่เป็นคุณและโทษ อย่าใช้ความรู้สึกไม่ว่าใครก็ตาม แม้แต่ตัวเองใช้ความรู้สึกตัวเองไม่ได้ ส่วนคนอื่นใช้ความรู้สึกตัวเองไปวิจารณ์เขาไม่ได้เช่นกัน ดังนั้นต้องไปดูว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร อย่าไปวิตกกันมาก การจัดตั้งโผทหารไม่ได้มีผลดี-ผลเสียกับธุรกิจของประเทศชาติ อยากถามว่าการตั้งปลัดกระทรวงกลาโหมจะทำให้จีดีพีตกหรือไม่ แต่ขึ้นอยู่กับการบังคับบัญชามากกว่าว่าจะทำให้กองทัพแข้มแข็งได้อย่างไร อย่าคิดว่าการเมืองกับทหารต้องเกี่ยวข้องกัน ซึ่งก็เกี่ยวกันบ้างแต่ไม่ใช่ทั้งหมด ต้องให้เกียรติซึ่งกันและกัน ทหารก็ให้เกียรติการเมือง การเมืองก็ให้เกียรติทหาร ผมคิดว่าอยู่ด้วยกันได้ตลอดมากี่ 100 ปีแล้ว อย่าตีข่าวให้ใหญ่โตซึ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องภายใน ทั้งนี้เชื่อว่าภายในสัปดาห์นี้คงทราบว่าโผโยกย้ายจะเป็นอย่างไร” ผบ.ทบ.กล่าว
เมื่อถามว่า เป็นห่วงภาพลักษณ์กองทัพหรือไม่ที่ยังมีทหารวิ่งหานักการเมืองเพื่อขอตำแหน่ง พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ตนไม่รู้ว่าทหารวิ่งหาการเมืองหรือการเมืองวิ่งหาทหาร แต่คิดว่าไม่มีใครวิ่งหาใครมากกว่า วันนี้อย่าแบ่งแยกว่าเป็นการเมืองหรือทหาร เพราะเป็นเพื่อนฝูงรู้จักกันหมด รัฐบาลชุดนี้ขึ้นมา ทหารคนนี้อาจจะไม่รู้จักรัฐบาลชุดเก่า แต่รู้จักเพื่อนซึ่งเป็นคนในรัฐบาลชุดนี้ก็อาจพูดคุยฝากกันไปมา นี่คือคนไทยและสังคมไทยที่เป็นระบบเครือญาติ ประเทศไทยยังตัดระบบนี้ไม่ได้ ซึ่งต่างประเทศไม่มี แต่เขาใช้ระบบประเมินโดยมีคณะกรรมการให้คะแนน แต่ประเทศไทยก็มีระบบนี้เหมือนกัน แต่ของเราต้องใช้คู่กันจะใช้อย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ ต้องนำหลายอย่างมาชั่งน้ำหนัก ทั้งระบบการประเมินผู้บังคับบัญชา สังคม และหลังบ้านคือครอบครัวก็มีบทบาทสำคัญที่ทำให้หัวหน้าครอบครัวก้าวไปข้างหน้า ใครที่มีปัญหามากๆ ก็ทำให้ถ่วงความเจริญของสามีเหมือนกัน
เมื่อถามว่าต้องการให้กองทัพเข้มแข็งแต่ทหารยังวิ่งไปหานักการเมืองจะมีผลหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ก็ไม่เป็นไร ก็ไปหาได้ ถ้าจะช่วยกันหรือขอกันก็บอกมาด้วยเหตุผล ถ้าดูแล้วควรจะให้ความเป็นธรรมเขา เช่น เขาอาวุโส มีความสามารถแต่อาจจะไม่ได้รับการดูแล ผู้บังคับบัญชาอาจจะมองไม่เห็น เราก็เอามาดูใหม่ ถ้าขอมาแล้วมาเปรียบเทียบว่าเป็นอย่างไร ตนคิดว่าถ้าเขาเป็นคนดีจริงโดยเทียบกับคนของเราก็ต้องให้เขา ซึ่งไม่ได้ให้เพราะเขาขอ แต่ให้เพราะเขาให้กลับมาทบทวน ทั้งนี้ ความอาวุโสต้องดูจาก 1. เรื่องรุ่นที่จบจากโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า 2. ยศและระยะเวลาการดำรงตำแหน่ง และ 3. ความเหมาะสม ส่วนข้อ 4. ให้ย้อนกลับไปดูข้อ 3 ที่สำคัญการทำงานต้องมีความสุข ไม่รังเกียจซึ่งกันและกัน
“การแต่งตั้งทหารไม่เหมือนคนอื่น เพราะถ้าตั้งคนดีกองทัพก็จะดี เพราะคนเหล่านี้จะไปดูแลผู้ใต้บังคับบัญชา โดยผู้ใต้บังคับบัญชาก็จะรักกันเป็นทีมงาน ทำให้เป็นองค์กรที่มีความเข้มแข็ง กล้าหาญ เสียสละ ถ้าตั้งคนไม่ดีก็จะไม่ดีกับลูกน้อง ก็จะไม่เอาใจใส่คนอื่น นึกถึงแต่ประโยชน์ส่วนตน สิ่งเหล่านี้อันตรายและยังมีอยู่ คนเหล่านี้ยังมีอยู่ แต่ไม่ได้ตำแหน่งหลัก เมื่อถึงเวลาพิจารณาก็เห็นว่าไม่เหมาะสม คนพวกนี้ถ้าได้เข้ามาอันตราย อีกประเภทหนึ่งคือไม่มีทั้งความดีและความชอบ ทำงานไปเรื่อยๆ ไม่ได้ทำความผิดแต่ไม่ทำความดีที่เห็นได้ชัด ทุกวันนี้กองทัพมีคนและงานมากขึ้น เพราะฉะนั้นทุกคนต้องมีการปรับปรุงตนเอง สองปีที่ผมรับตำแหน่งได้ใช้นโยบายว่าเป็นปีแห่งการพัฒนา โดยปีแรกจะเป็นการพัฒนาทุกด้านและปีที่ 2 จะเป็นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ มีการประเมินตั้งแต่ผู้พันจนถึงพันเอก เพื่ออยากให้ทุกคนรู้ว่ากองทัพบกทำอะไรอยู่ ขณะนี้ถ้าคนไทยทุกคน ไม่ใช่เฉพาะแต่ทหาร ไม่คิดเป็นกระบวนการก็จะใช้ความรู้สึกทุกเรื่องและไม่เข้าใจกัน” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวต่อว่า การจะทำเรื่อง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มีหลายวิธีการ แต่การนำทุกอย่างไปสู่การปฏิบัตินั้นทำได้แค่ไหน โดยทุกฝ่ายต้องทำงานไปด้วยกัน ซึ่งขณะนี้เราแก้ไขปัญหาด้วยการใช้กลุ่มพลังต่างๆในภาคใต้ เช่น สภาสันติสุข กลุ่มผู้นำศาสนาต่างๆ สภาที่ปรึกษาฯ มาเกี่ยวข้องทั้งหมด เหมือนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเคยดำเนินการที่ จ.สตูล ซึ่งทำมาแล้ว 6 ปี เหตุกาณณืสงบเรียบร้อยดีมาก เหตุเกิดขึ้นน้อยมาก ทั้งนี้เราอย่าไปตกหล่มโจรที่ต้องการยั่วยุคนทั้งประเทศให้โกรธแค้น เพื่อให้ฝ่ายความมั่นคงใช้ความรุนแรงไปโต้ตอบ ไม่เช่นนั้นจะเข้าล็อก อย่างไรก็ตาม คนไทยพุทธและมุสลิมมีสิทธิ์อยู่อย่างปลอดภัยในประเทศไทย การแก้ไขปัญหามีทุกมิติที่ทำอยู่ โดยทุกกระทรวง ทบวง กรมต้องไปด้วยกัน ขณะนี้มีการดำเนินการอยู่แต่ไม่พร้อมกัน โดยอาจจะไม่ตรงห้วงเวลา ติดขัดเรื่องระเบียบ เพราะการใช้งบประมาณไม่ง่ายนัก อนุมัติแล้วยังไม่มีเม็ดเงิน รัฐบาลก็ต้องไปหาเงินมา เช่น โครงการต้องทำในไตรมาส 1 แต่ได้เงินมาในไตรมาส 3 ทำให้ผลลัพธ์ไม่สัมฤทธิ์ ดังนั้นขอร้องให้อดทนกันอีกนิดหน่อย คนไทยพุทธและมุสลิมที่สัญจรไปมาก็ขอให้ระมัดระวังตัวมากขึ้น โดยเจ้าหน้าที่ก็ทำงานอยู่ไม่ได้ปัดความรับผิดชอบ
“วันนี้มีทั้งประชาชน และเจ้าหน้าที่บาดเจ็บ แสดงว่าทหารออกไปทำงานและก็โดนมากกว่า ล่อเป้าอยู่ทุกวัน ฝ่ายโน่นต้องทบทวนเหมือนกันว่าการทำร้ายคนไม่มัวไม่เป็นผลดีกับท่านเลย ไม่เกิดประโยชน์ ดังนั้นมาช่วยกันพัฒนาประเทศดีกว่า พวกโจรที่ทำทุจริตผิดกฎหมาย พวกแสวงหาผลประโยชน์ขอให้เลิกซะเถอะ อย่าทำกรรมเวรกับประเทศชาติ เงินทองก็ไม่ได้ใช้หรอก เดี๋ยวก็ตายหมด ติดคุกติดตะราง ถูกตำรวจจับ” ผบ.ทบ.กล่าว