xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“สุกำพล” ปะทะ “เสถียร” ชิงเก้าอี้ “ปลัดกลาโหม” “มาดามอู๊ด” ท้าชน “เจ๊ ด.”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-เป็นที่รับรู้กันดีว่า “พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต” หรือ “บิ๊กโอ๋” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อนรักเตรียมทหาร 10(ตท.10) ของ นช.ทักษิณ ชินวัตร นั้นคือ “ทหารแตงโม”

และก็เป็นที่รับรู้อีกเช่นกันว่า “พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์” ปลัดกระทรวงกลาโหมคนปัจจุบันที่กำลังจะเกษียณอายุราชการก็เป็น “ทหารแตงโม” ทั้งตัวและหัวใจ โดยเฉพาะศรีภรรยาของ พล.อ.เสถียรคือ มาดามอู๊ด“ดร.ณัฐณิชาช์ เพิ่มทองอินทร์” อดีตนายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลคำขวาง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานีนั้น จัดเป็นแกนนำคนเสื้อแดงที่สามารถใช้คำว่า “ไม่ธรรมดา” ได้เลยทีเดียว

ดังนั้น ศึกการแย่งชิงเก้าอี้ปลัดกระทรวงกลาโหมคนใหม่ซึ่งต่างฝ่ายต่างถือหางคนสนับสนุนของตัวเอง และเรื่องราวลุกลามใหญ่โตจน พล.อ.เสถียรทำหนังสือร้องเรียนถึงนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีครั้งนี้ จึงสามารถใช้คำว่า ทหารแตงโมปะทะทหารแตงโมได้อย่างเต็มปากเต็มคำ

ทว่า ข้อสงสัยที่เกิดขึ้นก็คือ อะไรคือมูลเหตุที่ทำให้ 2 นายทหารแตงโมปะทะกันแตกหักชนิดผีไม่เผา เงาไม่เหยียบเช่นนี้ ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วน่าจะพูดคุยกันได้ตามประสาพี่น้องคนหัวอกเดียวกัน

ยิ่งตัว พล.อ.เสถียรด้วยแล้ว ยิ่งน่าสงสัยว่า อะไรคือมูลเหตุที่ทำให้เขากล้าแตกหักกับ พล.อ.อ.สุกำพล

กล่าวสำหรับปัญหาเก้าอี้ปลัดกระทรวงกลาโหมคนใหม่นั้น เกิดขึ้นเนื่องเพราะทั้ง 2 ฝ่ายต่างมีคนที่สนับสนุนให้มายึดครองเก้าอี้สำคัญตัวนี้

โดย พล.อ.อ.สุกำพล ตั้งแท่นที่จะให้ “พล.อ.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน” ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก ให้ข้ามห้วยมาเป็นปลัดกระทรวงกลาโหม

ขณะที่ พล.อ.เสถียร ตั้งแท่นที่จะผลักดันให้ “พล.อ.ชาตรี ทิตติ” รองปลัดกระทรวงกลาโหม ให้สืบอำนาจต่อจากตนเอง

ทั้งนี้ ปัญหาความขัดแย้งระหว่าง พล.อ.อ.สุกำพลกับ พล.อ.เสถียรรุนแรงถึงขนาด พล.อ.เสถียรเลือกที่จะทำหนังสือร้องเรียนถึงนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี รวมทั้งส่งบัญชีรายชื่อโยกย้ายและแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพลของสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมไปให้ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ

โดยเฉพาะประการหลังนั้น ต้องบอกว่า ถือเป็นเรื่องที่หลายฝ่ายไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้นได้ เนื่องจากเป็นที่รับรู้กันว่า คนเสื้อแดงจงเกลียดจงชัง พล.อ.เปรมเพียงใด

ดังนั้น เรื่องนี้จึงไม่ใช่แค่ความขัดแย้งเล็กๆ น้อยๆ เพราะการที่ พล.อ.เสถียรดึงฝ่ายอำมาตย์มาร่วมวงความขัดแย้งด้วยนั้น เป็นเรื่องใหญ่เกินกว่าที่หลายคนคาดคิด เพราะเป็นการนำเรื่องของไพร่ที่ทะเลาะกันไปฟ้องอำมาตย์ให้ได้รับรู้

อย่างไรก็ตาม ถ้าหากตรวจสอบข้อมูลในหนังสือลงวันที่ 24 สิงหาคม 2555 ซึ่ง พล.อ.เสถียรทำถึงนางสาวยิ่งลักษณ์เพื่อขออนุญาตเข้าพบก็จะสามารถจับสัญญาณความขัดแย้งที่รุนแรงได้เป็นอย่างดีและหลังจากนั้น พล.อ.เสถียรก็ให้สัมภาษณ์ตอกย้ำอีกครั้งว่า “ผมยอมให้เพื่อนด่า เพราะ พล.อ.ทนงศักดิ์ก็เป็นรุ่นเดียวกัน แต่ผมต้องยึดความถูกต้อง มิเช่นนั้นต่อไปหลักการจะเสียหาย ไม่ใช่ว่าจะมาล้วงลูกล้วงตับกันในหน่วยงาน จะเอาใครก็ได้ตามอำเภอใจมันคงไม่ใช่ ถ้ามีการโหวตกันในคณะกรรมการพิจารณานายทหารชั้นนายพล จะเอาตามรายชื่อที่เสนอไปหรือไม่ ถ้าผมแพ้โหวตก็ไม่ว่ากัน ถือว่าเราทำดีที่สุดแล้ว

“สิ่งที่ผมทำไป ถึงที่สุดอาจมีคำถามจากสังคมว่ายอมรับได้หรือไม่ สื่อจะวิจารณ์อย่างไร ฝ่ายค้านจะหยิบยกไปอภิปรายหรือไม่ รวมถึงลูกน้องในสำนักงานจะมองผมอย่างไร ที่สำคัญเพื่อนร่วมรุ่นต้องรุมด่าผมแน่ ในฐานะที่ผมเป็นประธานรุ่น ตท.11 หาว่าทำไมไม่สนับสนุนเพื่อนรุ่นเดียวกัน ผมทำใจไว้แล้ว เมื่อมานอนคิดดู ถ้ายอมในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง คนที่เขาเสียประโยชน์จากการโยกย้ายจะไม่ฟ้องร้องผมหรือไม่ ในฐานะหัวหน้าส่วนราชการ ซึ่งผมก็ไม่อยากไปขึ้นศาลติดคุกหลังเกษียณเช่นกัน ”

ทั้งนี้ ถ้าหากพิจารณาจากหนังสือร้องเรียนที่ พล.อ.เสถียรส่งถึงนายกรัฐมนตรีและการให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อก็จะเห็นชัดเจนว่า พล.อ.เสถียรกล่าวหา พล.อ.อ.สุกำพลว่าล้วงลูกการตั้งปลัดกระทรวงกลาโหมคนใหม่

และนั่นคือข้อขัดแย้งที่นำไปสู่การตอบโต้ที่ถึงพริกถึงขิงจาก พล.อ.อ.สุกำพล ด้วยการเซ็นคำสั่งย้าย พล.อ.เสถียรให้ไปช่วยงานราชการที่สำนักงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอย่างไม่รอช้า เพราะพล.อ.เสถียรกำลังประจานให้สังคมได้เห็นว่า รัฐบาลของพรรคเพื่อไทย และรัฐมนตรีของคนเสื้อแดงกำลังล้วงลูกโผทหาร

ที่สำคัญคือไม่ใช่เฉพาะแค่ พล.อ.เสถียรคนเดียวเท่านั้นที่ถูกเซ็นย้ายชนิดฟ้าผ่า หากแต่รวมไปถึง พล.อ.ชาตรี ทัตติ รองปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้ที่ พล.อ.เสถียรสนับสนุนให้เป็นปลัดกระทรวงกลาโหมแทนตนเองและ พล.อ.พิณภาษณ์ สริวัฒน์ เจ้ากรมเสมียนตรา รวมอยู่ด้วย

คำถามคือ แล้วทำไม พล.อ.เสถียรจึงกล้าที่จะงัดข้อกับ พล.อ.อ.สุกำพล ซึ่งเป็นคนบ้านเดียวกันถึงขั้นผีไม่เผา เงาไม่เหยียบเช่นนี้ ทั้งๆ ที่ถ้าจะว่าไปแล้ว พล.อ.ทนงศักดิ์คือเพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหารกันเสียด้วยซ้ำไป และก่อนหน้าที่จะปรากฏเป็นข่าวความขัดแย้งก็เคยมีความพยายามที่จะเจรจาต้าอ่วยระหว่างสองนายทหารแตงโมกันหลายต่อหลายครั้ง แต่ไม่ทราบว่า ด้วยเหตุผลกลใดจึงทำให้สถานการณ์พัฒนาไปถึงเพียงนี้

หรือว่า พล.อ.เสถียรมั่นใจในพลังภายในของตนเองว่าจะมีเหนือ พล.อ.อ.สุกำพลได้

ตำแหน่งนี้มีความสลักสำคัญถึงขนาด พล.อ.เสถียรยอมเอาตัวเข้าแลกกระนั้นหรือ

หรือ พล.อ.เสถียรมั่นใจว่า หลังเกษียณอายุราชการ เขาจะก้าวขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมต่อจาก พล.อ.อ.สุกำพลที่ทำท่าว่าจะถูกอัปเปหิจากเก้าอี้ตัวนี้ดังที่ปรากฏเป็นข่าว

แน่นอน เหตุผลของการที่ พล.อ.เสถียรยอมแตกหักกับ พล.อ.อ.สุกำพลย่อมไม่ใช่เพื่อรักษาความถูกต้องชอบธรรมภายในกองทัพให้ดำรงอยู่ต่อไปดังที่เขาให้สัมภาษณ์เอาไว้

ย้อนหลังในการปรับย้ายครั้งที่ผ่านมาซึ่งส่งผลทำให้ พล.อ.เสถียรได้เป็นปลัดกระทรวงกลาโหมนั้น ในครั้งนั้นก็เกิดความขัดแย้งขึ้นเช่นกัน โดย พล.อ.กิตติพงษ์ เกษโกวิท ปลัดกระทรวงกลาโหมในขณะนั้น ได้เสนอชื่อพล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ ประธานคณะที่ปรึกษากองทัพไทย ขณะที่ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา ใช้อำนาจ รมว.กลาโหม เสนอชื่อ ของพล.อ.วิทวัส รชตะนันทน์ (ตท.11) รองปลัดกระทรวงกลาโหม ขึ้นเป็นปลัดกระทรวงกลาโหม

ครั้งนั้น พล.อ.ยุทธศักดิ์ก็ประกาศกร้าวที่จะสนับสนุน พล.อ.วิทวัสเช่นกัน แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่อาจทัดทานการประสานพลังกันระหว่างกองทัพซึ่งนำโดย พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดในขณะนั้นที่เผอิญไปตรงกับความต้องการของนายใหญ่คนเสื้อแดงและรัฐบาลพรรคเพื่อไทยพอดิบพอดี พล.อ.ยุทธศักดิ์จึงจำเป็นต้องกลืนเลือด

ด้วยเหตุดังกล่าว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จึงตีโผทหารที่ พล.อ.ยุทธศักดิ์เสนอขึ้นไปกลับมาตามคำสั่งของพี่ชาย พร้อมทั้งเรียกพล.อ.ยุทธศักดิ์ เข้าไปพูดคุย ทำให้พล.อ.ยุทธศักดิ์ ยอมที่จะให้พล.อ.เสถียร ขึ้นมาเป็นปลัดกระทรวงกลาโหมโดยดี

แต่ครั้งนี้ ไม่เหมือนครั้งนั้น.....

เพราะดูเหมือนว่า บรรดานายทหารระดับบิ๊ก 6 คนที่มีสิทธิเข้าร่วมประชุมสภากลาโหมเพื่อเคาะตำแหน่งต่างๆ นั้น ชัดเจนว่า เชียร์ พล.อ.ทนงศักดิ์มากกว่า พล.อ.ชาตรี ไม่ว่าจะเป็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ที่แม้จะไม่ได้ให้ความเห็นอย่างตรงไปตรงมา แต่ถ้าหากจับสัญญาณจากถ้อยคำระหว่างบรรทัดแล้ว ก็สามารถฟันธงได้ทันทีว่า งานนี้ บิ๊กตู่ไม่ได้อยู่ข้างเดียวกับ พล.อ.เสถียร แม้ พล.อ.เสถียรจะพยายามลากโยงให้เข้ามาเกี่ยวข้องว่า ไม่ใช่เฉพาะแค่ตัวเขาเองเท่านั้นที่จะถูกการเมืองล้วงลูก หากแต่ทุกเหล่าทัพก็มีสิทธิที่จะเจอเหตุการณ์ในทำนองเดียวกัน

มิหนำซ้ำบางถ้อยประโยคยังเป็นไปในเชิงเหน็บแนม พล.อ.เสถียรเกี่ยวกับหลังบ้านอยู่ในทีอีกด้วย

“หลังบ้านคือครอบครัวก็มีบทบาทสำคัญที่ทำให้หัวหน้าครอบครัวก้าวไปข้างหน้า ใครที่มีปัญหามากๆ ก็ทำให้ถ่วงความเจริญของสามีเช่นกัน”

ถ้อยคำข้างต้น พล.อ.ประยุทธ์มิอาจปฏิเสธได้ว่า ต้องการสื่อถึง “ณัฐณิชาช์ เพิ่มทองอินทร์” ศรีภรรยาของ พล.อ.เสถียรเป็นการเฉพาะ เพราะถ้าจะว่าไปแล้วก็เป็นที่ชัดเจนมาตั้งแต่ต้นว่า พล.อ.ประยุทธ์หนุนให้ พล.อ.ทนงศักดิ์ข้ามห้วยจาก บก.ทบ.มารั้งตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหม ดังนั้น จึงมิได้เดือดเนื้อร้อนใจต่อความขัดแย้งที่เกิดประการใด

ก็จะไม่ให้ พล.อ.ประยุทธ์เชียร์ พล.อ.ทนงศักดิ์ได้อย่างไรเล่า ก็เพราะเที่ยวนี้ปรากฏชื่อของ พล.ท.ปรีชา จันทร์โอชา รองแม่ทัพภาคที่ 3 ขยับขึ้นไปเป็นแม่ทัพน้อยที่ 3 แทน พล.ท.สุรเชษฐ์ ชัยวงษ์ ทหารสังกัด “เจ๊ ด.” ที่นอนมาในตำตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก

หรือแม้กระทั่ง พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า ทุกคนมีสิทธิเสนอชื่อเข้าไปแคนดิเดตกัน ไม่ว่าจะเป็น รมว.กลาโหม ปลัดกระทรวงกลาโหม หรือแม้แต่ ผบ.เหล่าทัพ หากเห็นว่าหน่วยของตัวเองมีบุคคลที่มีความสามารถ เหมือนอย่าง พล.อ.เสถียรก็มาจากกองบัญชาการกองทัพไทย แต่ท้ายที่สุดก็ต้องเป็นเสียงส่วนใหญ่ และเป็นอำนาจของคณะกรรมการสภากลาโหม 6 คน ที่จะแสดงความคิดเห็นและตัดสินกันว่าใครที่เหมาะสมที่สุด ทั้งอาวุโสและความเหมาะสมอีกหลายอย่าง เพราะตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหมเป็นตำแหน่งที่ยืนอยู่หัวแถว ดังนั้นต้องดูในหลายเรื่อง อีกทั้งเป็นตำแหน่งที่ต้องดูแลสนับสนุนงานของกองทัพต่างๆ ด้วย จึงต้องมีหลายคุณสมบัติ

“คนที่จะมาดำรงตำแหน่งปลัดกลาโหมไม่จำเป็นต้องเลือกบุคคลที่มีความอาวุโสอันดับหนึ่ง หากมีอาวุโสใกล้เคียงกัน เราก็จะต้องดูความเหมาะสม และการทำงานด้วยว่าเมื่อเข้าไปดำรงตำแหน่งแล้ว จะทำงานให้หน่วยงานต่างๆ ใน 5 หน่วยงาน ทั้งกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ กองทัพไทย และสำนักงานปลัด ว่าจะดูแลได้แค่ไหน และมีความเข้าใจงานแค่ไหนด้วย”บิ๊กอ๊อดแจกแจง

ด้วยเหตุนี้ จึงสามารถกล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า งานนี้ฝ่ายเสนาธิการของ พล.อ.เสถียร ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนพ้องน้องพี่ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง “หลังบ้าน” เดินเกมที่ผิดพลาดอย่างไม่น่าให้อภัยจนทำให้ตายยกรังกันเยี่ยงนี้

พลาด...เพราะ พล.อ.เสถียรคงลืมตัวไปว่า บิ๊กโอ๋นั้นคือเพื่อนรักทักษิณ และคิดแต่เพียงว่า เมียคือแกนนำคนเสื้อแดงที่ทำให้พรรคเพื่อไทยกวาด 7 เก้าอี้ ส.ส.เมืองดอกบัวมาไว้ในมือได้ จึงหาญกล้าที่จะลุกขึ้นมาเปิดหน้าชกกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

พลาด...เพราะพล.อ.เสถียรลืมตัวคิดไปว่า ครั้งที่แล้วสามารถหักเอาชนะ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภาและสามารถคว้าเก้าอี้ปลัดกระทรวงกลาโหมมาครองได้เป็นสำเร็จ

พลาด...เพราะ พล.อ.เสถียรลืมนึกไปว่า แบ็กของพล.อ.ทนงศักดิ์ก็ไม่เป็นสองรองใครเช่นกัน และไม่ใช่แค่เพียง พล.อ.อ.สุกำพลให้การสนับสนุนเท่านั้น หากแต่ผู้เป็นพี่ชายของเขาคือ “พล.ท.พงษ์เอก อภิรักษ์โยธิน” ส.ว.พะเยา ที่ถือเป็นสายตรงของ “เจ๊แดง-นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์” แถมก่อนหน้านี้นี้ก็มีรายงานข่าวว่า ได้มีการพา พล.อ.ทนงศักดิ์ ไปพบ นช.ทักษิณ ชินวัตรที่ฮ่องกงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ดังนั้น จึงอย่าแปลกว่า ทำไมไม่มีสัญญาณพิเศษใดๆ จากดูไบว่าเลือกยืนอยู่ข้าง พล.อ.เสถียร และก่อนที่คำสั่งย้ายฟ้าผ่าจะออกมา เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า งานนี้บิ๊กโอ๋ต้องได้รับไฟเขียวจากนายใหญ่ของคนเสื้อแดงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

อย่างไรก็ตาม ไม่เพียงแค่นายห้างตราดูไบเท่านั้น ตัวนางสาวยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรีคราวนี้ก็มีความชัดเจนในตัวเองว่าเลือกที่จะยืนอยู่ข้างเดียวกับเพื่อนพี่ชาย โดยสังเกตจากคำให้สัมภาษณ์ที่หนูไม่รู้ส่งสัญญาณชัดเจนว่า “ไปถาม พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมดีกว่ามั้งนะคะ”

สุดท้าย พล.อ.เสถียรจึงถูกบิ๊กโอ๋ใช้อำนาจเชือดนิ่มๆ เด้งเข้ากรุเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2555 ผ่านมาด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว และมีสภาพไม่ต่างอะไรจาก “หมาหัวเน่า” พร้อมทั้งสร้างปรากฏการณ์ที่สะท้านวงการทหารในรอบ 40 ปีเลยก็ว่าได้

กระนั้นก็ดี การเล่นบทโหดของ พล.อ.อ.สุกำพลก็ใช่ว่าจะทำให้คลื่นลมสงบลงได้ มิหนำซ้ำยังทำให้ภาพลักษณ์ของบิ๊กโอ๋ที่เคยมีปัญหาเมื่อครั้งรั้ง เสนาบดีกระทรวงคมนาคมตามกลับมาหลอกหลอนตอกย้ำอีกครั้งว่า ไม่สามารถทำงานร่วมกับคนอื่นลงได้กระทั่งถูก 2 รัฐมนตรีช่วยฯ อย่าง “ชัจจ์ กุลดิลก” และ “กิตติศักดิ์ หัตถะสงเคราะห์” ยำตีนมาแล้ว ส่วนเหตุการณ์ในครั้งนี้ก็ก่อให้เกิดกระแสต่อว่าต่อขานในทำนอง “ลงโทษเกินกว่าเหตุ” อยู่ไม่น้อยเช่นกัน

ขณะเดียวกันการสงครามแตงโมที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะการลุแก่อำนาจของ พล.อ.อ.สุกำพลก็ได้สร้างปมปัญหาใหญ่ซึ่งกำลังเป็นที่ถกเถียงกันอย่างหนัก 2 ข้อด้วยกันคือ

หนึ่ง-บิ๊กโอ๋ใช้อำนาจอันชอบธรรมในการย้ายพล.อ.เสถียร พล.อ.ชาตรีและเจ้ากรมเสมียนตราหรือไม่
เพราะถ้าหากไม่ชอบธรรม โอกาสที่จะถูกฟ้องกลับก็เกิดขึ้นได้ ดังเช่นที่ พล.อ.ชาตรีให้สัมภาษณ์ภายหลังคำสั่งออกมาว่า “ยังไม่ทราบเหตุผลที่ถูกย้ายในครั้งนี้ แต่ยืนยันว่า ไม่ได้ไปเกี่ยวข้องกับบัญชีโยกย้ายนายทหารประจำปี 2556 เพราะเป็นแค่คนหนึ่งที่เป็นแคนดิเดตถูกเสนอให้เป็นปลัดกระทรวงกลาโหมคนใหม่เท่านั้น จึงไม่เข้าใจว่าโดนโยกย้ายเพราะเหตุใดส่วนช่องทางที่จะสามารถยื่นร้องเรียน หากเห็นว่าการโยกย้ายไม่เป็นธรรมนั้น จะต้องหารือกับผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายก่อน ซึ่งมีช่องทางอยู่ แต่ตอนนี้ยังไม่ขอพูดอะไรมาก เพราะยังไม่เห็นเอกสาร จึงไม่อยากเป็นผู้ร้าย ขอให้อีกฝ่ายเป็นผู้ร้ายไปฝ่ายเดียวดีกว่า”

แต่จนกระทั่งถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีความคืบหน้าว่า พล.อ.เสถียรและ พล.อ.ชาตรีที่ทำเสียงแข็งในตอนแรกจะกล้าเอาคืน พล.อ.อ.สุกำพลหรือไม่ มิหนำซ้ำยังปรากฏภาพ พล.อ.พิณภาษณ์ สริวัฒน์ เจ้ากรมเสมียนตราที่ถูกร่วมก๊วนเดียวกัน นำดอกไม้ ธูป เทียนเข้ากราบขอขมาพี่โอ๋ที่ได้ล่วงเกินทั้งกายกรรม มโนกรรมและวจีกรรม พร้อมทั้งให้สัมภาษณ์ว่าเหตุที่นำดอกไม้ ธูป เทียนมาขอขมาก็เพราะ “สำนึกผิดและขอยอมรับอย่างชายชาติทหาร” โดยยืนยันด้วยว่า “สิ่งที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมดำเนินการนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว”

ดังนั้น เกมนี้อาจจะจบแบบแฮปปี้เอนดิ้งก็เป็นได้

สอง-ภายหลังสงครามระหว่างทหารแตงโมที่รุนแรงถึงขั้นติดดาบปลายปืนจบลง ใครจะได้เป็นปลัดกระทรวงกลาโหมคนต่อไป และการประชุมสภากลาโหมซึ่งมีสมาชิก 6 คน พล.อ.เสถียรจะยังคงมีสิทธิมีเสียงและสามารถเข้าร่วมประชุมเหมือนเดิม และพล.อ.วิทวัสในฐานะรักษาการจะปฏิบัติหน้าที่แทนหรือไม่

สำหรับกรณีของปลัดกระทรวงกลาโหมคนต่อไปไปต้องนั่งจับยามสามตาก็ฟันธงได้ทันทีว่า พล.อ.ทนงศักดิ์นอนมาแบบไม่มีคู่ต่อสู้ เพราะชัดเจนแล้วว่า ไม่ใช่แค่พล.อ.อัตราจอมพลเท่านั้นที่จะเป็นปลัดกระทรวงกลาโหมได้ แต่พล.อ.ธรรมดาก็สามารถเป็นได้เช่นกัน ยิ่งเมื่อผ่านการประทับตราจากดูไบด้วยแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึง

ส่วนเรื่องการประชุมบอร์ดกลาโหมนั้น เรื่องทำท่าว่าจะไม่เป็นไปตามที่พล.อ.อ.สุกำพลให้สัมภาษณ์เอาไว้เสียแล้วว่า “พล.อ.เสถียร ไม่มีสิทธิ์ที่จะร่วมประชุมบอร์ดคณะกรรมการปรับย้ายแล้ว” เพราะมีข้อโต้แย้งจากหลายฝ่ายว่า ไม่สามารถทำได้ เช่นเดียวกับการมอบหมายให้ พล.อ.วิทวัสซึ่งอกหักจากการถูก พล.อ.เสถียรแย่งเก้าอี้และบิ๊กโอ๋ได้รับการแต่งตั้งให้มาเป็นรักษาการปลัดฯ ให้มาดูแลโผการโยกย้ายในส่วนของสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมทั้งหมด

พล.อ.สุรินทร์ พิกุลทอง อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในฐานะอดีตกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.จัดระเบียบกระทรวงกลาโหม พ.ศ.2551 ให้ความเห็นชัดเจนว่า “ในการประชุมบอร์ดกลาโหมเพื่อทำโผแต่งตั้งโยกย้ายระดับนายพลตามมาตรา 25 ของ พ.ร.บ.กลาโหม รักษาการปลัดกระทรวงกลาโหมคือ พล.อ.วิทวัส รชตะนันทน์ รองปลัดกระทรวงกลาโหม ที่ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม แต่งตั้งขึ้นเป็นรักษาการปลัดกลาโหม ไม่สามารถเข้าร่วมพิจารณาในฐานะรักษาการปลัดกลาโหมตามที่ พล.อ.อ.สุกำพลแถลงไว้ได้ หากทำจริง จะเกิดปัญหาข้อกฎหมายใหญ่ตามมาแน่นอน เพราะตาม พ.ร.บ.กลาโหม ไม่ได้บอกให้รักษาการทำหน้าที่ในส่วนนี้ได้เลย

“เมื่อมีการเรียกประชุมบอร์ดกลาโหม 7 คนดังกล่าวตามมาตรา 25 หากมีการกีดกันไม่ให้ พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์เข้าร่วมประชุม เช่นไม่แจ้งให้ทราบว่ามีการประชุมหรือไม่ยอมให้เข้าห้องประชุม เขาฟ้องร้องต่อศาลได้เลย"

คำถามก็คือ ถ้าเป็นเช่นนั้น การจัดทำบัญชีรายชื่อโยกย้ายในส่วนของสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่ พล.อ.อ.สุกำพลต้องการ โดยทางเดียวที่จะเป็นไปได้ก็คือการเจรจาสงบศึกระหว่าง พล.อ.อ.สุกำพลกับพล.อ.เสถียร ซึ่งก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เพราะพล.อ.พิณภาษน์ทำให้เห็นเป็นตัวอย่างแล้ว

ทว่า ไม่ว่าสุดท้ายแล้ว ผลจะออกมาเป็นอย่างไร คงต้องบอกว่า ศึกครั้งนี้ จึงเป็นบทพิสูจน์ว่า ทหารแตงโมมิได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันขึ้นอยู่กับว่า ใครเป็นเด็กใคร ใครเป็นพวกใคร และพวกเขาพร้อมจะเปิดศึกฆ่าน้อง ฟ้องนาย ขายเพื่อน ได้ตลอดเวลา ถ้าหากการจัดสรรผลประโยชน์ไม่ลงตัว

หมายเหตุ - 'ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์' มีแฟนเพจแล้วนะครับ ขอเชิญร่วมพูดคุยและแสดงความคิดกันได้ที่ http://www.facebook.com/Astvmanagerweekend
พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์และพล.อ.ชาตรี ทัตติ
พล.อ.เสถียรกับดร.ณัฐณิชาช์ เพิ่มทองอินทร์
กำลังโหลดความคิดเห็น