คดีฟ้องผู้ว่าฯ สมุทรสาคร ละเลยปฏิบัติหน้าที่กรณีผู้ประกอบการถ่านหิน ศาลปกครองยกฟ้องแล้ว ระบุ ผู้ว่าฯ แจ้งตรวจสอบข้อเท็จจริงหลังได้รับเรื่องร้องเรียน นำไปสู่การระงับดำเนินการถ่านหินแก่ผู้ประกอบการทุกราย และแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจพิสูจน์คุณภาพน้ำแม่น้ำท่าจีน ถือว่าไม่ละเลยการปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติล่าช้า
วานนี้ (16 ส.ค.) ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษา ให้ยกฟ้องในคดีที่ นายสนธิญา สวัสดี อดีตยุทธศาสตร์พัฒนาจังหวัดสมุทรสาคร ยื่นฟ้อง นายจุลภัทร แสงจันทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร กรณีที่อนุญาตให้มีการขนถ่ายถ่านหิน ในพื้นที่ จ.สมุทรสาคร จนทำให้เกิดปัญหาน้ำเน่าเสียในแม่น้ำท่าจีน สภาพแวดล้อมถูกทำลาย และไม่ดำเนินการขั้นเด็ดขาด กับเรือบรรทุกถ่านหิน รวมทั้งมีท่าขนถ่ายถ่านหินที่ไม่ได้รับอนุญาต ซึ่ง นายสนธิญา ได้ขอให้ศาล มีคำสั่งย้ายผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ออกนอกพื้นที่ภายใน 30 วัน และขอให้ผู้ว่าฯ สมุทรสาคร ออกคำสั่งบังคับห้ามขนถ่ายถ่านหินภายในพื้นที่ รวมทั้งขอให้หน่วยงานเกี่ยวข้องทั้งตำรวจน้ำ กรมเจ้าท่า ห้ามเรือบรรทุกถ่านหินเข้ามาจอดเทียบท่าแม่น้ำท่าจีน
สำหรับเหตุที่ศาลปกครองยกฟ้อง ระบุว่า เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เมื่อนายสนธิญา ได้มีหนังสือถึงผู้ว่าฯ สมุทรสาคร เมื่อวันที่ 1 ก.พ.54 เพื่อขอให้ดำเนินการตรวจสอบหาสาเหตุการเน่าเสียของแม่น้ำท่าจีนแล้ว และให้ดำเนินการขั้นเด็ดขาดกับผู้ประกอบกิจการขนถ่านหินที่ใช้เรือผิดประเภทหรือไม่ได้รับอนุญาต หลังจากนั้น ผู้ว่าฯ สมุทรสาคร ได้มีหนังสือแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบข้อเท็จจริงและดำเนินการแก้ไขปัญหาตามอำนาจหน้าที่ แล้วให้รายงานผลให้ทราบ
นอกจากนี้ ยังปรากฏข้อเท็จจริงด้วยด้วยว่าก่อนที่ผู้ว่าฯ สมุทรสาคร จะได้รับหมายแจ้งคำสั่งศาลที่มีคำสั่งกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวให้แก่นายสนธิญา เมื่อวันที่ 24 ส.ค.54 นั้น ผู้ว่าฯ สมุทรสาคร ได้มีหนังสือด่วนที่สุด ลงวันที่ 13 ก.ค.54 ถึงรองผู้ว่าฯ สมุทรสาคร หัวหน้าส่วนราชการ นายอำเภอ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่ง และผู้ประกอบกิจการถ่านหินทุกราย ให้ระงับการดำเนินการเกี่ยวกับกิจการถ่านหินทุกกรณี หากมีการฝ่าฝืนให้มีการพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายอย่างจริงจัง และยังมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจพิสูจน์คุณภาพน้ำในแม่น้ำท่าจีน ลงวันที่ 9 ก.ย.54 โดยมีตัวแทนเป็นชาวบ้านในตำบลต่างๆ ร่วมเป็นกรรมการ ดังนั้น จากการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวของผู้ว่าฯ สมุทรสาคร จึงถือไม่ได้ว่าละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร
ส่วนกรณีที่ นายสนธิญา ขอให้ย้ายผู้ว่าฯ สมุทรสาคร ออกจากพื้นที่ภายใน 30 วันนั้น เป็นการใช้ดุลพินิจของผู้บังคับบัญชาในทางการบริหารบุคคล ศาลไม่อาจก้าวล่วงไปใช้อำนาจของฝ่ายบริหารได้ จึงเป็นคำขอที่ศาลไม่อาจกำหนดคำบังคับได้ จึงพิพากษายกฟ้องและให้คำสั่งกำหนดมาตรการคุ้มครองเพื่อบรรเทาทุกข์ก่อนการพิพากษานั้นสิ้นผลไป