“ประพันธ์” ยกคดีศาลปทุมฯ ยกฟ้องพันธมิตรฯ โดยพิพากษาว่าการวิจารณ์ “ทักษิณ” เรื่องแก้ รธน. เป็นไปโดยสันติ-สุจริต พิสูจน์ให้เห็นว่าสิ่งที่พันธมิตรฯ ทำมานั้นถูกต้อง พร้อมชื่นชมพี่น้องในสหรัฐฯ กล้าหาญ ด้าน “สุวัตร” ชี้ถือเป็นโอกาสได้สนองคุณชาติ หากต้องการให้ช่วยเหลืออะไรบอกมาได้
วันที่ 14 ส.ค. นายประพันธ์ คูณมี แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รุ่นที่ 2 และอดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ พร้อมด้วย นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ร่วมสนทนาในรายการ “คนเคาะข่าว” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV
นายประพันธ์กล่าวถึงกรณีศาลจังหวัดปทุมธานีพิพากษายกฟ้องนายสนธิ ลิ้มทองกุล และแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย คดีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ฟ้องหมิ่นประมาท กรณีแถลงการณ์คัดค้านและประณามการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อลบล้างความผิดตัวเองและพวกว่า ถือเป็นคำพิพากษาประวัติศาสตร์ พ.ต.ท.ทักษิณฟ้องพันธมิตรฯ หลายคดี ส่วนใหญ่ก็เป็นคดีหมิ่นประมาท ประเด็นที่เยอะสุดก็คือถูกหาว่าไม่จงรักภักดี รองลงมาคือทุจริตคอร์รัปชัน และมีพฤติกรรมส่วนตัวไม่เหมาะสมกับการดำรงตำแหน่งทางการเมือง
เขาฟ้องเพื่อจะพิสูจน์ให้ได้ว่าจงรักภักดี แต่มันก็มีข้อเท็จจริงที่พันธมิตรฯ ได้เห็นแล้ว เพียงแต่สังคมยังไม่มีโอกาสรับรู้ เช่นเข้าไปทำพิธีในวัดพระแก้ว ส่งเสริมกลุ่มคนที่โจมตีสถาบันฯ ให้ชาวบ้านถือธงทรงพระเจริญต้อนรับ หรือกรณีให้สัมภาษณ์จาบจ้วงหลายๆ ครั้ง พันธมิตรฯ วิจารณ์ พ.ต.ท.ทักษิณในฐานะเป็นนายกฯ เป็นบุคลสาธารณะ แล้วภายหลังจากการวิพากษ์วิจารณ์ของเราก็ยังมีพฤติกรรมไม่จงรักภักดีเหล่านี้ตามมา มีคำตัดสินของ ป.ป.ช. เราก็เอามาพิสูจน์ให้ศาลเห็นได้ว่าที่เราพูดเป็นจริง และทำไปเพื่อประโยชน์สาธารณะ เรานำสืบพิสูจน์ได้หมด ทุกคดี
เมื่อถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณหนีคดีไปต่างประเทศ ทำไมถึงยังมีอำนาจฟ้องคนอื่นได้ นายสุวัตรกล่าวว่า เริ่มแรกตอนไต่สวนมูลฟ้อง ตนสู้เลยว่าใบมอบอำนาจไม่ชอบ เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณหนีไปต่างประเทศแล้ว เอาใบมอบอำนาจจากไหนมาเป็นร้อยใบ แล้วตนดูแล้วเป็นการปลอมลายเซ็น ศาลชั้นต้นก็ยกฟ้องเลย แต่พอไปศาลอุทธรณ์ให้มีมูลไต่สวนมูลฟ้อง แต่ท้ายที่สุดก็ออกคำพิพากษามา โดยพูดถึงการมอบอำนาจไว้ว่า คนมอบอำนาจให้ฟ้องแต่ไม่มาเบิกความ ให้ทนายจำเลยได้มีโอกาสถามค้าน ศาลถือว่าพยานยังไม่มีน้ำหนัก ตนไม่มีโอกาสได้ถามค้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ถามผู้รับมอบอำนาจมาเขาก็บอกไม่รู้ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร แล้วเรื่องอย่างนี้ในอดีตคำพิพากษาในคดีอาญาทุกเรื่อง ถ้าโจทก์ไม่มา ศาลต้องยกฟ้อง แต่ตอนหลังในคดี พ.ต.ท.ทักษิณกับนายสนธิ บางบัลลังก์แม้โจทก์ไม่มาก็ยังลงโทษนายสนธิ แต่เราก็ได้รับความยุติธรรมในชั้นอุทธรณ์
ในคดีนี้พันธมิตรฯ บอกว่า เพื่อที่จะแก้รัฐธรรมนูญ มีการใช้อำนาจบาตรใหญ่ย้ายคนโน้นคนนี้ และสืบได้หมดเลยว่าย้ายจริง ศาลยังเอากรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์พยายามจะแก้รัฐธรรมนูญมาพิจารณาร่วมด้วย แม้ตอนเกิดเหตุ น.ส.ยิ่งลักษณ์ยังไม่มาเป็นนายกฯ แต่ก็สามารถเอาเหตุการณ์หลังจากนั้นมาดูร่วมด้วย อีกทั้งตนสังเกตเห็นได้ว่าคำพิพากษาศาลนี้ออกมาหลังคำพิพากษาศาลรัฐธรรมนูญคดีมาตรา 68 แล้วผลก็เดินไปแนวเดียวกันกับศาลรัฐธรรมนูญ
นายประพันธ์กล่าวว่า บุคคลที่ผู้มีอำนาจฟ้องคดีอาญา คือ อัยการ กับผู้เสียหาย โดยปกติคดีอาญา โจทก์ต้องมาศาล ถ้าไม่มาถือว่าขาดนัดศาล ศาลก็ยกฟ้อง แต่ในหลักปัจจุบันศาลให้ผู้เสียหายมอบอำนาจให้ผู้อื่นเป็นโจทก์มาฟ้องแทนได้ เป็นการเอาหลักจากกฎหมายแพ่งมาใช้ แต่ถ้าตีความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เขาใช้คำว่าผู้เสียหาย ไม่ได้ใช้คำว่าผู้รับมอบอำนาจจากผู้เสียหาย แต่นี่ไปอนุโลมประมวลกฎหมายแพ่งมาใช้ แต่อย่างไรก็ตามถ้าศาลเคร่งครัดในประมวลกฎหมายอาญาก็สามารถยกฟ้องได้เลย อย่างคดีนี้เราสู้เรื่องหนังสือมอบอำนาจปลอม และผู้มอบอำนาจหนีคดี ไม่เคารพกระบวนการยุติธรรม จึงไม่มีสิทธิมาฟ้องร้องผู้อื่น แต่บางทีศาลก็ไม่กล้าตัดอำนาจฟ้องทันที ทั้งที่สามารถทำได้ บางทีก็เลี้ยงไปในลักษณะรับฟ้องและยกฟ้องภายหลังโดยอ้างว่าโจทก์ไม่มาเบิกความ อย่างไรก็ตาม แม้ศาลเปิดโอกาสให้ผู้เสียหายมอบอำนาจให้ผู้อื่น แต่ท่านก็มีวิธีให้ความเป็นธรรมโดยวินิจฉัยไว้ชั้นหลัง ซึ่งกรณีนี้ศาลน่าจะวางบรรทัดฐานไว้เลยว่าบุคคลที่ถูกคำพิพากษาแล้วหลบหนีคดี ไม่ควรมีอำนาจมาฟ้อง แต่ถ้าเป็นคนทั่วไปที่ไม่ได้หลบหนีคดี สามารถมอบอำนาจให้ผู้อื่นฟ้องแทนได้ เพราะยังอยู่ในประเทศไทย เรียกมาเบิกความได้
นายประพันธ์กล่าวอีกว่า จากคำพิพากษาศาลหลายๆ คดี พิสูจน์ได้ว่าพันธมิตรฯ มีจุดยืนในการต่อสู้กับนักการเมืองโกง ไม่จงรักภักดี ไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัว มีคำวินิจฉัยศาลเป็นบรรทัดฐานรองรับการกระทำ
อีกทั้งยังขอชื่นชมพันธมิตรฯ ในสหรัฐอเมริกาด้วย พี่น้องคนไทยที่นั่นรักประเทศ รักสถาบันฯ จึงไม่แปลกที่ส่วนใหญ่จะเป็นพันธมิตรฯ แล้ววันนี้ก็ได้แสดงบทบาท ทั้งที่ก่อนหน้าตอนเราชุมนุมเขาก็ส่งเงินมาช่วย วันนี้ได้เจอจำเลยตัวจริง และแสดงออกอย่างกล้าหาญ สะท้อนให้เห็นว่าพันธมิตรฯเป็นพลังที่ไม่มีวันตาย เข้มแข็งและเป็นอมตะ
นายสุวัตรกล่าวเสริมว่า ขอเพิ่มเติมในสิ่งที่นายประพันธ์พูด คำพิพากษาครั้งนี้ศาลระบุว่า “คำให้สัมภาษณ์ดังกล่าวเป็นการกระทำโดยสันติวิธี ด้วยเจตนาดีต่อประเทศชาติ จึงเป็นการแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต ป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนในฐานะประชาชนภายใต้รัฐธรรมนูญมีสิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญตามครองธรรมแล้ว จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 (1)” แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่พันธมิตรฯ ทำเป็นไปโดยสันติวิธีและสุจริต
ส่วนพี่น้องในสหรัฐฯ ที่ร่วมต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ทำให้เห็นว่ารักชาติอย่ารักแต่ปาก ไม่ใช่ยุให้เราไปสู้ แต่ตัวเองนอนดูอยู่บ้าน ถือเป็นโอกาสได้สนองคุณชาติ ตนขอส่งกำลังใจไปให้ แล้วต้องการให้ช่วยเหลืออะไรบอกได้มาเลย