xs
xsm
sm
md
lg

สรุปคำพิพากษา : ศาลยกฟ้องทักษิณฟ้อง พธม.ย้ำสิทธิพิทักษ์ รธน.-อิงคำ “หลวงตาบัว” ติงหวังอาจเอื้อมเป็นประธานาธิบดี

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

แกนนำพันธมิตรฯ ระหว่างการแถลงข่าว แถลงการณ์ฉบับที่ 4/2551 คัดค้านและประณามการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อลบล้างความผิดของตนเองและพวกพ้อง เมื่อวันที่ 26 มี.ค. 2551
สรุปคำพิพากษาศาลจังหวัดปทุมธานี คดีดำที่ ๑๒๓๔/๒๕๕๑ แดงที่ ๑๘๖๘/๒๕๕๒

ทักษิณ ชินวัตร โจทก์
ระหว่าง
สนธิ ลิ้มทองกุล ที่ ๑ กับพวกรวม ๘ คน จำเลย

คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งแปดร่วมกันหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ตามแถลงการณ์ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ฉบับที่ ๔/๒๕๕๑ และฉบับที่ ๕/๒๕๕๑


โจทก์มีพฤติกรรมส่อไปตามแถลงการณ์จริงตั้งแต่หลบหนีคดีโดยอ้างว่าขาดความเชื่อถือ ต่อกระบวนการยุติธรรม ตามหนังสือชี้แจงเอกสารหมาย ล.๑ และอยู่เบื้องหลังผู้ก่อให้เกิดการกระทำของรัฐบาลตัวแทนหุ่นเชิดตามแถลงการณ์ของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ปรากฏเป็นข้อเท็จจริงตามข่าวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่นายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชนยอมรับว่าเป็นตัวแทนหุ่นเชิดของโจทก์ตั้งใจที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๕๐ โดยใช้ต้นแบบรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๔๐ เฉพาะในส่วนที่ดีไม่ต้องทำประชามติเพราะมีค่าใช้จ่ายจำนวนมาก ตามเอกสารหมาย ล.๑๓ และ ล.๑๔ ข่าววิเคราะห์เรื่องความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๒๓๗ ในคดียุบพรรคพลังประชาชน แ ละมาตรา ๓๐๙ จากระบอบทักษิณ เพื่อล้มล้างการใดๆ ที่เกิดจากการปฏิวัติวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ ให้เกิดการตีความเป็นคุณแก่โจทก์ซึ่งถูกดำเนินคดีจากองค์กร ตามคำสั่งของการปฏิวัติว่าความชอบธรรมในองค์กรต่างๆ สิ้นสุดลงโดยปริยาย ส่งผลให้ยุติกระบวนการต่างๆ ที่เอาผิดกับโจทก์ในการทุจริตระหว่างปฏิบัติหน้าที่ตามเอกสารหมาย ล.๑๖ ทั้งที่นายสุนัย มโนมัยอุดม อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษชนะคดีที่โจทก์เคยฟ้องกล่าวหาว่านายสุนัยว่าละเมิด ตามเอกสารหมาย ล.๑๗ คำให้สัมภาษณ์ของนายสมัครว่ามีกลุ่มอำนาจที่ไม่ใช่กองทัพไทยจะปฏิวัติรัฐประหาร สอดคล้องกับเรื่องที่โจทก์ปลุกระดมมวลชนเสื้อแดงจนเกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ซึ่งทำลายการประชุมผู้นำอาเซียนที่โรงแรมรอยัล คลิฟ บีช จ.ชลบุรี การชุมนุมที่สี่แยกราชประสงค์ โดยมีข่าวว่าพรรคเพื่อไทยต้องการช่วยเหลือโจทก์กลับบ้านตามที่มีการหาเสียงไว้ ตามเอกสารหมาย ล.๓๗ โดยหลังเกิดเหตุโจทก์ก็ยอมรับว่าตนเองเป็นนายกรัฐมนตรีลี้ภัย ต้องมี “โมบาย คาบิเนต” หรือคณะรัฐมนตรีโทรศัพท์เคลื่อนที่ ตามเอกสารหมาย ล.๓๓ ปัจจุบันรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวโจทก์ พรรคเพื่อไทยได้สืบทอดดำเนินการที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๒๙๑ ต่อไปตามข่าวเอกสารหมาย ล.๓๒ และ ล.๓๖ โดยพยานจำเลยดังกล่าวไม่ได้ถามค้านให้เห็นเป็นอย่างอื่น เพียงแต่ถามค้านได้ความว่าปัจจุบันการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นไปตามกระบวนการของกฎหมายเท่านั้น ยังไม่มีการล้มล้างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ แต่อย่างใด เชื่อว่าข่าวสารต่างๆ ที่ฝ่ายจำเลยนำสืบมามีมูลความจริง เมื่อช่วงเดือนมีนาคม ๒๕๕๑ ถึงเมษายน ๒๕๕๑ พรรคพลังประชาชนตัวแทนของโจทก์อยู่ระหว่างต้องคดียุบพรรค หลังจากพรรคไทยรักไทยของโจทก์เคยถูกยุบพรรคมาแล้ว ซึ่งต่อมาศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยยุบพรรคเช่นกัน ตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ ๒๐/๒๕๕๑ ลงวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๑ ตามเอกสารหมาย ล.๖ ทั้งโจทก์อยู่ระหว่างหลบหนีคดีเกี่ยวกับการซื้อขายที่ดินถนนรัชดาภิเษก ซึ่งต่อมาศาลพิพากษาจำคุกโจทก์ ตามเนื้อหาแห่งคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ลงวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๕๑ เอกสารหมาย ล.๓ และโจทก์ยังอยู่ระหว่างต้องคดียึดทรัพย์สินเกี่ยวกับเรื่องขายและโอนหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งต่อมาศาลพิพากษายึดทรัพย์สินของโจทก์ลงวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ เอกสารหมาย ล.๔๗ การจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๕๐ ระหว่างต้องคดีดังกล่าวเกี่ยวกับมาตรา ๒๓๗ ซึ่งบัญญัติหลักการเรื่องยุบพรรคการเมือง เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของหัวหน้าพรรคการเมืองและกรรมการบริหารพรรคการเมือง และมาตรา ๓๐๙ ซึ่งบัญญัติเรื่องหลักการใดๆ ที่ได้รับรองในรัฐธรรมนูญ(ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.๒๕๔๙ ว่าชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญ รวมทั้งการกระทำที่เกี่ยวเนื่องไม่ว่าก่อนหลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ ให้ถือว่าการนั้นและการกระทำนั้นชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้ ย่อมอาจเป็นเหตุให้ประชาชนโดยทั่วไปเข้าใจไปได้ว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งสองมาตราย่อมมีผลย้อนหลังในทางที่เป็นคุณแก่โจทก์และพรรคพวกทำให้หลุดพ้นคดีความเก่าๆ เกิดเป็นประเด็นทางการเมืองจากโจทก์ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ถือเป็นบุคคลสาธารณะที่ประชาชนมุ่งให้ความสำคัญ ฉะนั้น กลุ่มพันธมิตรฯ ของพวกจำเลยจึงออกมาเคลื่อนไหวแถลงการณ์เพื่อต่อต้าน คัดค้าน ชี้ให้เห็นความบกพร่องต่างๆจากการกระทำของฝ่ายโจทก์ ไม่ให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แม้โจทก์ยังไม่เคยต้องคำพิพากษาจนถึงที่สุด ว่าได้กระทำการตามที่แถลงการณ์ของกลุ่มพันธมิตรว่าเป็นความผิดก็ตาม แต่โจทก์ไม่เคยมาศาลเพื่อเบิกความเป็นพยานยืนยันด้วยตนเองปฏิเสธข้อเท็จจริงนี้ เพื่อให้โอกาสทนายจำเลยถามค้านกระจายข้อเท็จจริงให้กระจ่างชัดตามสิทธิของจำเลย คงมีแต่นายพิชา ป้อมค่าย ฝ่ายผู้รับมอบอำนาจโจทก์เบิกความเป็นพยานบอกเล่าเท่านั้น น้ำหนักคำพยานฝ่ายโจทก์เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของตนเองว่าไม่ได้มุ่งหวังผลตามแถลงการณ์ของกลุ่มพันธมิตรจริง ยังน่าเคลือบแคลงไม่หนักแน่นมั่นคง เพราะยังมีข้อครหาเกี่ยวกับการหลบหนีคดีความในชั้นศาลจริง ด้วยเหตุนี้พยานฝ่ายจำเลยจึงมีน้ำหนักและเหตุผลน่าเชื่อยิ่งกว่า

สามารถรับฟังข้อเท็จจริงได้ว่า การกระทำของโจทก์ต่างๆ ตามข่าวสารพอมีมูลให้ฝ่ายจำเลยเชื่อโดยสุจริตว่า โจทก์มีเจตนากระทำการอย่างที่คัดค้านหรือต่อต้านไว้ ตามแถลงการณ์ฉบับที่ ๔/๒๕๕๑ และฉบับที่ ๕/๒๕๕๑ นั้น ถูกต้องเป็นความจริง ดังนั้น ประชาชนจึงมีสิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญ และมีหน้าที่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รักษาผลประโยชน์ของชาติและปฏิบัติตามกฎหมาย จึงสามารถมีส่วนร่วมในการตัดสินใจทางการเมืองและสังคมตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐ กลุ่มประชาชนย่อมรวมตัวในลักษณะเครือข่าย สามารถแสดงความคิดเห็นและเสนอความต้องการของชุมนุม เพื่อพัฒนาการเมืองและการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขได้ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๕๐ ย่อมสามารถแสดงความคิดเห็นหรือข้อความโดยสุจริต ติชมด้วยความเป็นธรรม อันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำ ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ มาตรา ๓๒๙(๓) ทั้งนี้เพื่อประโยชน์สาธารณะ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๓๕ วรรคสอง ถือเป็นข้อยกเว้นความผิดฐานหมิ่นประมาท จำเลยที่ ๑ ซึ่งร่วมกันแถลงการณ์ตามฟ้องจึงไม่มีความผิด ส่วนคำให้สัมภาษณ์ของจำเลยที่ ๑ จึงเกินเลยไปจากแถลงการณ์ของกลุ่มพันธมิตรฯ โดยดึงเอาสถาบันพระมหากษัตริย์มาอ้างอิงทำนองว่ามีความเป็นไปได้ที่หากโจทก์สามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ตนเองหลุดพ้นจากองค์กรตรวจสอบความรับผิด ซึ่งรับรองโดยมาตรา ๓๐๙ ได้แล้วย่อมเป็นเงื่อนไขข้อแรกนำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญหมวดพระมหากษัตริย์ เพื่อเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของไทยเป็นระบอบประธานาธิบดีแล้วทุกสิ่งเป็นไปได้หมดนั้น จำเลยที่ ๑ เบิกความเพื่อเติมว่า เป็นเพราะก่อนเกิดเหตุโจทก์กระทำมิบังควรต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ตามภาพถ่ายต่างๆ ในหนังสือพิมพ์ เอกสารหมาย ล.๑๐ ทั้งดึงเบื้องสูงมาเกี่ยวกับการเมืองตามข่าวเอกสารหมาย ล.๒๕ รวมทั้งข้อเท็จจริงของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ว่า โจทก์จะเป็นประธานาธิบดี ตามเอกสารหมาย ล.๔๐ โดยหลังเกิดเหตุคดีนี้โจทก์ยังให้สัมภาษณ์จาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ จนหลายฝ่ายต้องออกมาปกป้อง ตามข่าวเอกสารหมาย ล.๒๖-ล.๙ ดังนั้น ทางกลุ่มพันธมิตรฯ และจำเลยที่ ๑ จึงให้สัมภาษณ์เสริมตอนท้ายว่า การจะนั่งเฉยๆ ยอมรับความชั่วช้าสามานย์เปลี่ยนสภาพสังคมไทยไปโดยอำนาจที่มีอยู่ แก้อะไรก็ได้ตามความต้องการ ทำไม่ได้ โดยจำเลยที่ ๑ เบิกความอธิบายว่า หากรัฐบาลไม่ฟังเสียงประชาชนทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องได้เนื่องจากมีอำนาจแล้ว จะนำไปสู่ความแก้ไขรัฐธรรมนูญหมวดต่างๆ ได้ตามต้องการเพียงซื้อเสียงให้ได้มาซึ่งอำนาจในสภาเพื่อแสวงหาประโยชน์ โดยเปรียบเทียบให้เห็นอันตรายว่าสภาย่อมแก้ไข ล้มล้าง นิรโทษกรรมความผิดของตน ตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๓๐๙ หรือแม้ทำให้ตนเป็นประธานาธิบดีคนแรกย่อมทำได้ทุกอย่าง

การกระทำตามภาพถ่ายในหนังสือพิมพ์ ซึ่งจำเลยที่ ๑ กล่าวอ้าง ปรากฏมีคำว่าทรงพระเจริญที่ธงชาติไทย ซึ่งประชาชนบางส่วนถือนำมาต้อนรับโจทก์และมีชื่อโจทก์เป็นภาษาอังกฤษที่ธงชาติไทยติดไว้ ในสนามฟุตบอลภาพดังกล่าวถึงจะไม่สามารถบ่งชี้ได้แน่ชัดว่า โจทก์เป็นคนจัดให้มีการกระทำนั้นขึ้นมา เนื่องจากอาจเป็นความสมัครใจหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของบุคคลอื่นก็เป็นได้ รวมทั้งคำชี้แจงของโจทก์ตามข่าวเอกสารหมาย ล.๒๕ แม้จะไม่บังควรที่กล่าวถึงเบื้องสูงให้มาเกี่ยวข้องกับการเมืองแต่ก็อยู่ในลักษณะของคนตั้งใจที่จะปฏิบัติตามรับสั่งเท่านั้น ยังไม่ถึงขนาดเป็นไปได้ชัดว่า โจทก์มีเจตนาล้มล้างรัฐธรรมนูญมาเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นประธานาธิบดี ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๖๘ เพราะได้ความจากทนายโจทก์ถามค้านพยานฝ่ายจำเลยโดยสรุปว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญยังคงเป็นไปตามกระบวนการแห่งกฎหมาย เพื่อแก้ไขบางมาตราไม่ใช่ทั้งฉบับ แต่จำเลยที่ ๑ ยังมีข้อเท็จจริงตามคำเทศนาของหลวงตามหาบัว เอกสารหมาย ล.๔๐ น่าเชื่อถือศรัทธาเป็นที่ประจักษ์บอกเล่าถึงโจทก์ที่หวังอาจเอื้อมเป็นประธานาธิบดี ดังนั้นเมื่อจำเลยที่ ๑ นำเรื่องราวต่างๆของโจทก์มาประกอบรวมกันทั้งหมดแล้วจึงอาจทำให้เข้าใจไปได้ว่า โจทก์อาจต้องการล้มล้างรัฐธรรมนูญจริงจึงให้สัมภาษณ์ไปในสาธารณะเช่นนั้น คำให้สัมภาษณ์ของจำเลยที่ ๑ ยังพอถือว่าเป็นการแสดงความคิดเห็นหรือข้อความโดยสุจริต ตามความเชื่อของตนว่าเป็นความจริง

ตามข่าวเอกสารหมาย ล.๒๕-ล.๒๘ ศาลตรวจอ่านดูแล้วทราบว่าโจทก์ให้สัมภาษณ์พาดพิงและล่วงละเมิดสถาบันเบื้องสูงอย่างรุนแรง และเป็นคำพูดที่ไม่เหมาะสมชี้ให้เห็นจุดประสงค์ที่แท้จริงของโจทก์ในการเคลื่อนไหวทางการเมืองช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยมีข่าวว่าเหล่าทัพออกมาชี้แจงให้ผู้ใต้บังคับบัญชาระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ และเทิดทูนพระมหากษัตริย์

ข้อเท็จจริงตามข่าวสารดังกล่าวจึงมีมูลเหตุให้น่าเชื่อไปได้ว่า โจทก์มีพฤติกรรมดังกล่าวจริง สอดคล้องกับข้อเท็จจริงของโจทก์ต่างๆ ที่ปรากฏอยู่ในคำพิพากษาของศาลอาญาซึ่งยกฟ้องโจทก์คดีหมิ่นประมาทเรื่องกลับมาเป็นประธานาธิบดี เอกสารหมาย ล.๒๙ ทำให้ข้อเท็จจริงต่างๆ ย้อนกลับไปยังให้สัมภาษณ์ของจำเลยที่ ๑ ขณะเกิดเหตุว่าอาจมีมูลความจริงตามที่เชื่อก็ได้ สมควรยกประโยชน์ในทางเป็นคุณให้แก่จำเลยที่ ๑ คดีรับฟังได้ว่า คำให้สัมภาษณ์ดังกล่าวเป็นการกระทำโดยสันติวิธี ด้วยเจตนาดีต่อประเทศชาติ จึงเป็นการแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต ป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนในฐานะประชาชนภายใต้รัฐธรรมนูญมีสิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญตามครองธรรมแล้ว จำเลยที่ ๑ จึงไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๙ (๑)

พิพากษายกฟ้อง
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและนักโทษหลบหนีโทษจำคุก 2 ปี ในช่วงที่เป็นนายกรัฐมนตรี ระหว่งการไปพบปะกับประชาชนที่ จ.พระนครศรีอยุธยา และมีธง ทรงพระเจริญ มาต้อนรับ ทว่า คดีเมื่อถึงชั้นอัยการสูงสุดกลับสั่งไม่ฟ้องโดยระบุว่าไม่มีหลักฐานระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นผู้ใช้ให้กระทำการดังกล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น