ผู้จัดการออนไลน์ - ศาลจังหวัดปทุมธานีพิพากษา “ยกฟ้อง” สนธิ ลิ้มทองกุล และแกนนำพันธมิตรฯ คดีที่ “นักโทษชายทักษิณ” ฟ้องหมิ่นประมาทกรณีแถลงการณ์คัดค้านและประณามการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อลบล้างความผิดตัวเองและพวก
วันนี้ (6 ส.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ศาลจังหวัดปทุมธานี ศาลได้ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ 1234/2551 คดีหมายเลขแดงที่ 1868/2552 ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มอบอำนาจให้ นายพิชา ป้อมค่าย เป็นโจทก์ฟ้องแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งประกอบด้วย นายสนธิ ลิ้มทองกุล จำเลยที่ 1 นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ จำเลยที่ 2 นายพิภพ ธงไชย จำเลยที่ 3 นายสมศักดิ์ โกศัยสุข จำเลยที่ 4 พล.ต.จำลอง ศรีเมือง จำเลยที่ 5 นายสุริยะใส กตะศิลา จำเลยที่ 6 บริษัท เอเอสทีวี (ประเทศไทย) จำกัด จำเลยที่ 7 และบริษัท ไทยเดย์ ด็อทคอม จำกัด จำเลยที่ 8 ในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา
โดยคำฟ้องระบุว่า เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2551 เวลากลางวัน จำเลยทั้ง 8 ได้ร่วมกันโฆษณาด้วยเอกสารและคำแถลงเรื่องการคัดค้านและประณามการแก้ไข้รัฐธรรรมนูญเพื่อลบล้างความผิดของตนเองและพวกพ้อง ผ่านการถ่ายทอดทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอเอสทีวี และเว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์ทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น เกลียดชังจากประชาชนทั่วไป
หลังจากไต่สวนคู่ความและพยานแล้ว ศาลพิจารณาแล้วเชื่อว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการติชมโดยสุจริตจึงพิพากษายกฟ้อง
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 26 มี.ค. 2551 ที่บ้านพระอาทิตย์ แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ประกอบไปด้วย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายสมศักดิ์ โกศัยสุข นายสนธิ ลิ้มทองกุล นายพิภพ ธงไชย นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ และนายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรฯ ได้ร่วมกันออกแถลงการณ์ฉบับที่ 4/2551 ดังนี้
“เรื่อง คัดค้านและประณามการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อลบล้างความผิดของตนเองและพวกพ้อง”
ตามที่ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ออกแถลงการณ์ก่อนหน้านี้ทั้ง 3 ฉบับ เพื่อแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลนอมินีได้เหิมเกริมในการแทรกแซงการทำงานของสื่อสารมวลชน ตลอดจนแทรกแซงและตัดตอนกระบวนการยุติธรรมก่อนถึงศาลอย่างต่อเนื่อง ดังที่ปรากฏแล้วนั้น
บัดนี้ เป้าหมายของระบอบทักษิณ ที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้เคยออกแถลงการณ์เอาไว้ล่วงหน้าในฉบับที่ 2/2551 เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2551 ว่าจะมีขบวนการของรัฐบาลนอมินีดำเนินการแก้ไขกฎหมายและรัฐธรรมนูญเพื่อทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัวไม่ต้องพิสูจน์ตัวเองในกระบวนการยุติธรรม ได้ปรากฏขึ้นเป็นจริงในวันนี้แล้ว
รัฐบาลนอมินีได้ประกาศอย่างชัดเจนแล้วว่าจะดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พุทธศักราช 2550 ในมาตรา 237 เพื่อหลบเลี่ยงการกระทำความผิดต่อกฎหมายเลือกตั้งที่จะนำไปสู่การยุบพรรค และจะแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 309 เพื่อยุบเลิกคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เพื่อตัดตอนคดีความทั้งหลายที่กำลังดำเนินต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ครอบครัวและพวกพ้องไม่ให้เข้าสู่การพิจารณาของศาลในทุกวิถีทาง
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขอยืนยันว่าการกระทำดังกล่าวนั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้องเท่านั้น อันแสดงถึงพฤติกรรมที่เหิมเกริม ลุแก่อำนาจ และไร้ยางอาย อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์การเมืองไทยโดยมีเหตุผลประกอบดังต่อไปนี้
ประการแรก มาตรา 237 ที่บัญญัติเอาไว้ในรัฐธรรมนูญปี พุทธศักราช 2550 นั้น มีเอาไว้เพื่อป้องกันและลงโทษนักการเมืองมิให้ทุจริตในเลือกตั้ง ป้องกันไม่ให้คนไม่ดีเจ้าเล่ห์เพทุบายซึ่งใช้เงินเพื่อให้ได้อำนาจมาปกครองบ้านเมือง และให้พรรคการเมืองทุกพรรครับผิดชอบด้วยการสรรหาบุคคลที่จะไม่กระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งมาเป็นหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรค
นอกจากมาตรา 237 ในรัฐธรรมนูญจะไม่เป็นอันตรายต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามที่รัฐบาลนอมินีพยายามบิดเบือนแล้ว ในทางตรงกันข้าม มาตราดังกล่าวยังเป็นการสร้างความเข้มแข็งในระบอบประชาธิปไตยให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น ด้วยการกำจัดนักการเมืองและพรรคการเมืองที่ทำผิดกฎหมายให้พ้นจากวงจรอุบาทว์ทางการเมือง และปกป้องรักษานักการเมืองที่สุจริตให้มีโอกาสเข้ามาบริหารบ้านเมือง
บุคคลใด หรือพรรคการเมืองใด ที่ต้องการลบล้างบทลงโทษตามมาตรา 237 ในรัฐธรรมนูญ ย่อมเท่ากับเป็นการบ่อนทำลายระบอบประชาธิปไตยให้อ่อนแอและเสื่อมทรามลงอย่างชัดเจน
ประการที่สอง มาตรา 237 ที่บัญญัติเอาไว้ในรัฐธรรมนูญนั้น ได้ประกาศหลักเกณฑ์และบทลงโทษเอาไว้ล่วงหน้าก่อนมีการเลือกตั้ง พรรคการเมืองทุกพรรคจึงมีหน้าทีที่ต้องแสดงความรับผิดชอบในการคัดสรรคนดีมาเป็นหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรค และหามาตรการป้องกันมิให้หัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคมีส่วนรู้เห็นในการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งในทุกวิถีทาง ตราบใดที่กรรมการบริหารพรรคการเมืองเหล่านั้นไม่กระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง ย่อมไม่ถูกลงโทษตามมาตราดังกล่าวอย่างแน่นอน
แต่เมื่อพรรคการเมืองในรัฐบาลนอมินีมีกรรมการบริหารพรรคที่เข้าข่ายการกระทำความผิดต่อกฎหมายเลือกตั้ง แล้วจะใช้วิธีแก้ไขรัฐธรรมนูญในมาตรา 237 เพื่อลบล้างความผิดที่ได้ทำสำเร็จไปแล้วนั้น จึงถือได้ว่าเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้ตัวเองและพวกพ้องให้พ้นความผิดอย่างไร้ยางอายเป็นอย่างยิ่ง
ประการที่สาม ความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญในมาตรา 309 ของรัฐบาลนอมินีนั้น ก็เพื่อยกเลิกบรรดาการใดๆ ที่ได้รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2549 รวมทั้งการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกับกรณีดังกล่าวนั้น มีเป้าหมายสำคัญเพื่อที่จะยกเลิกองค์กรและทำให้การกระทำของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เป็นโมฆะ
การกระทำดังกล่าวย่อมเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่า ภายหลังจากที่รัฐบาลนอมินีได้ทำการโยกย้ายตัดตอนข้าราชการที่มีส่วนสำคัญในการดำเนินคดีความกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ครอบครัว และพวกพ้องเพื่อไม่ให้เข้าสู่การพิจารณาในชั้นศาลแล้ว เจตนาที่ต้องการแก้ไขมาตรา 309 นั้น ถือเป็นความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญที่แสดงออกถึงความขลาดกลัวในการพิสูจน์ตัวเอง และหลบหนีการตรวจสอบในชั้นศาลอย่างน่าอัปยศอดสูที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
ประการที่สี่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปัจจุบันนั้น มาจากการลงประชามติของประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่ แม้รัฐบาลนอมินีจะมาจากการรวมตัวกันของหลายพรรคการเมือง แต่ทุกพรรคการเมืองก็มิได้ชูนโยบายการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ส่วนตน ดังที่พยายามกระทำกันอยู่ การแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ตามอำเภอใจเพื่อประโยชน์ของนักการเมืองที่กระทำผิดกฎหมายต่อบ้านเมือง จึงถือเป็นการไม่เคารพและไม่ยอมรับประชาชนชาวไทยที่ลงประชามติเห็นชอบรัฐธรรมนูญกว่า 14 ล้านเสียง
จากสถานการณ์ดังกล่าวข้างต้น พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจึงได้มาประชุมและกำหนดจุดยืนต่อสถานการณ์ดังนี้
1.พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มีมติให้คัดค้านและประณามการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อล้างมลทินของคนในระบอบทักษิณและในรัฐบาลนอมินี ว่าเป็นความไม่ชอบธรรม ขลาดกลัวในการพิสูจน์ความจริงในชั้นศาล และเป็นเผด็จการรัฐสภาของทุนนิยมสามานย์โดยแท้
2.เบื้องหลังการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 237 เพื่อหลบเลี่ยงจากการยุบพรรคก็ดี หรือแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 309 เพื่อยุบเลิก คตส.ก็ดี ล้วนเป็นไปเพื่อลบล้างความผิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และพวกพ้องทั้งสิ้น หาได้เป็นการเสียสละเพื่อคนไทยทั้ง 63 ล้านคนไม่ นี่จึงเป็นข้อพิสูจน์ได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยังคงเป็นปัญหาที่แท้จริงของแผ่นดินอยู่เช่นเดิม
3.พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขอเรียกร้องต่อบุคคลในกระบวนการยุติธรรมทั้งปวงให้ผนึกกำลังกันอย่างมีเอกภาพในการต่อสู้กับภัยคุกคามจากฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติที่ฉ้อฉล โดยการพิจารณาคดีความที่เป็นวิกฤติของชาติอย่างรวดเร็ว
4.ทันทีที่มีการดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญอันเป็นผลทำให้เกิดการแก้ไขตัดตอนและลบล้างความผิดของคนในระบอบทักษิณ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยพร้อมที่จะเชิญชวนพี่น้องประชาชนทั่วประเทศมาร่วมกันคัดค้านตามวิถีทางรัฐธรรมนูญอย่างถึงที่สุด
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนที่รักความถูกต้อง และต้องการให้ความถูกต้องกลับคืนสู่สังคมไทย จงมาร่วมกันแสดงพลังและร่วมแสดงความคิดเห็นในการเข้าร่วมการสัมมนาครั้งนี้โดยพร้อมเพรียงกัน ณ หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) ตั้งแต่เวลา 16.00 น.ถึง 23.00 น.อย่างพร้อมเพรียงกัน
ด้วยจิตคารวะ
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
26 มีนาคม 2551
สรุปคำพิพากษาศาลจังหวัดปทุมธานี คดีดำที่ ๑๒๓๔/๒๕๕๑ แดงที่ ๑๘๖๘/๒๕๕๒
ระหว่าง ทักษิณ ชินวัตร โจทก์
สนธิ ลิ้มทองกุล ที่ ๑ กับพวกรวม ๘ คน จำเลย
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งแปดร่วมกันหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ตามแถลงการณ์ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ฉบับที่ ๔/๒๕๕๑ และฉบับที่ ๔/๒๕๕๑
โจทก์มีพฤติกรรมส่อไปตามแถลงการณ์จริงตั้งแต่หลบหนีคดีโดยอ้างว่าขาดความเชื่อถือ ต่อกระบวนการยุติธรรม ตามหนังสือชี้แจงเอกสารหมาย ล.๑ และอยู่เบื้องหลังผู้ก่อให้เกิดการกระทำของรัฐบาลตัวแทนหุ่นเชิดตามแถลงการณ์ของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ปรากฏเป็นข้อเท็จจริงตามข่าวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่นายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชนยอมรับว่าเป็นตัวแทนหุ่นเชิดของโจทก์ตั้งใจที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๕๕๐ โดยใช้ต้นแบบรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๔๐ เฉพาะในส่วนที่ดีไม่ต้องทำประชามติเพราะมีค่าใช้จ่ายจำนวนมาก ตามเอกสารหมาย ล.๑๓ และ ล.๑๔ ข่าววิเคราะห์เรื่องความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๕๕๐ มาตรา ๒๓๗ ในคดียุบพรรคพลังประชาชน แ ละมาตรา ๓๐๙ จากระบอบทักษิณ เพื่อล้มล้างการใดๆ ที่เกิดจากการปฎิวัติวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ ให้เกิดการตีความเป็นคุณแก่โจทก์ซึ่งถูกดำเนินคดีจากองค์กร ตามคำสั่งของการปฎิวัติว่าความชอบธรรมในองค์กรต่างๆ สิ้นสุดลงโดยปริยาย ส่งผลให้ยุติกระบวนการต่างๆ ที่เอาผิดกับโจทก์ในการทุจริตระหว่างปฏิบัติหน้าที่ตามเอกสารหมาย ล.๑๖ ทั้งที่นายสุนัย มโนมัยอุดม อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษชนะคดีที่โจทก์เคยฟ้องกล่าวหาว่านายสุนัยว่าละเมิด ตามเอกสารหมาย ล.๑๗ คำให้สัมภาษณ์ของนายสมัครว่ามีกลุ่มอำนาจที่ไม่ใช่กองทัพไทยจะปฎิวัติรัฐประการสอดคล้องกับเรื่องที่โจทก์ปลุกระดมมวลชนเสื้อแดงจนเกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ซึ่งทำลายการประชุมผู้นำอาเซียนที่โรงแรมรอยัลคลิฟบีช จ.ชลบุรี การชุมนุมที่สี่แยกราชประสงค์ โดยมีข่าวว่าพรรคเพื่อไทย ต้องการช่วยเหลือโจทก์กลับบ้าน ตามที่มีการหาเสียงไว้ ตามเอกสารหมาย ล.๓๗ โดยหลังเกิดเหตุโจทก์ก็ยอมรับว่าตนเองเป็นนายกรัฐมนตรีลี้ภัย ต้องมี”โมบาย คาบิเนต” หรือคณะรัฐมนตรีโทรศัพท์เคลื่อนที่ ตามเอกสารหมาย ล.๓๓ ปัจจุบันรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวโจทก์ พรรคเพื่อไทยได้สืบทอดดำเนินการที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๕๐ มาตรา ๒๙๑ ต่อไปตามข่าวเอกสารหมาย ล.๓๒ และ ล.๓๖ โดยพยานจำเลยดังกล่าวไม่ได้ถามค้านให้เห็นเป็นอย่างอื่น เพียงแต่ถามค้านได้ความว่าปัจจุบันการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นไปตามกระบวนการของกฎหมายเท่านั้น ยังไม่มีการล้มล้างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๕๐ แต่อย่างใด เชื่อว่า ข่าวสารต่างๆ ที่ฝ่ายจำเลยนำสืบมามีมูลความจริง เมื่อช่วงเดือนมีนาคม ๒๕๕๑ ถึง เมษายน ๒๕๕๑ พรรคพลังประชาชนตัวแทนของโจทก์อยู่ระหว่างต้องคดียุบพรรค หลังจากพรรคไทยรักไทยของโจทก์เคยถูกยุบพรรคมาแล้ว ซึ่งต่อมาศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยยุบพรรคเช่นกัน ตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ ๒๐/๒๕๕๑ ลงวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๑ ตามเอกสารหมาย ล.๖ ทั้งโจทก์อยู่ระหว่างหลบหนีคดีเกี่ยวกับการซื้อขายที่ดินถนนรัชดาภิเษก ซึ่งต่อมาศาลพิพากษาจำคุกโจทก์ ตามเนื้อหาแห่งคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ลงวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๕๑ เอกสารหมาย ล.๓ และโจทก์ยังอยู่ระหว่างต้องคดียึดทรัพย์สินเกี่ยวกับเรื่องขายและโอนหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งต่อมาศาลพิพากษายึดทรัพย์สินของโจทก์ลงวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ เอกสารหมาย ล.๔๗ การจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๕๐ ระหว่างต้องคดีดังกล่าวเกี่ยวกับมาตรา ๒๓๗ ซึ่งบัญญัติหลักการเรื่องยุบพรรคการเมือง เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของหัวหน้าพรรคการเมืองและกรรมการบริหารพรรคการเมือง และมาตรา ๓๐๙ ซึ่งบัญญัติเรื่องหลักการใดๆ ที่ได้รับรองในรัฐธรรมนูญ(ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.๒๕๔๙ ว่าชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญ รวมทั้งการกระทำที่เกี่ยวเนื่องไม่ว่าก่อนหลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ ให้ถือว่าการนั้นและการกระทำนั้นชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้ ย่อมอาจเป็นเหตุให้ประชาชนโดยทั่วไปเข้าใจไปได้ว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งสองมาตราย่อมมีผลย้อนหลังในทางที่เป็นคุณแก่โจทก์และพรรคพวกทำให้หลุดพ้นคดีความเก่าๆ เกิดเป็นประเด็นทางการเมืองจากโจทก์ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ถือเป็นบุคคลสาธารณะที่ประชาชนมุ่งให้ความสำคัญ ฉะนั้นกลุ่มพันธมิตรของพวกจำเลยจึงออกมาเคลื่อนไหวแถลงการณ์เพื่อต่อต้าน คัดค้าน ชี้ให้เห็นความบกพร่องต่างๆจากการกระทำของฝ่ายโจทก์ ไม่ให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แม้โจทก์ยังไม่เคยต้องคำพิพากษาจนถึงที่สุด ว่าได้กระทำการตามที่แถลงการณ์ของกลุ่มพันธมิตรว่าเป็นความผิดก็ตาม แต่โจทก์ไม่เคยมาศาลเพื่อเบิกความเป็นพยานยืนยันด้วยตนเองปฏิเสธข้อเท็จจริงนี้ เพื่อให้โอกาสทนายจำเลยถามค้านกระจายข้อเท็จจริงให้กระจ่างชัดตามสิทธิของจำเลย คงมีแต่นายพิชา ป้อมค่าย ฝ่ายผู้รับมอบอำนาจโจทก์เบิกความเป็นพยานบอกเล่าเท่านั้น น้ำหนักคำพยานฝ่ายโจทก์เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของตนเองว่าไม่ได้มุ่งหวังผลตามแถลงการณ์ของกลุ่มพันธมิตรจริง ยังน่าเคลือบแคลงไม่หนักแน่นมั่นคง เพราะยังมีข้อครหาเกี่ยวกับการหลบหนีคดีความในชั้นศาลจริง ด้วยเหตุนี้พยานฝ่ายจำเลยจึงมีน้ำหนักและเหตุผลน่าเชื่อ ยิ่งกว่า
สามารถรับฟังข้อเท็จจริงได้ว่า การกระทำของโจทก์ต่างๆตามข่าวสารพอมีมูลให้ฝ่ายจำเลยเชื่อโดยสุจริตว่า โจทก์มีเจตนากระทำการอย่างที่คัดค้านหรือต่อต้านไว้ ตามแถลงการณ์ฉบับที่ ๔/๒๕๕๑ และฉบับที่ ๕/๒๕๕๑ นั้น ถูกต้องเป็นความจริง ดังนั้นประชาชนจึงมีสิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญ และมีหน้าที่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รักษาผลประโยชน์ของชาติและปฏิบัติตามกฎหมาย จึงสามารถมีส่วนร่วมในการตัดสินใจทางการเมืองและสังคมตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐ กลุ่มประชาชนย่อมรวมตัวในลักษณะเครือข่าย สามารถแสดงความคิดเห็นและเสนอความต้องการของชุมนุม เพื่อพัฒนาการเมืองและการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขได้ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๕๐ ย่อมสามารถแสดงความคิดเห็นหรือข้อความโดยสุจริต ติชมด้วยความเป็นธรรม อันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำ ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ มาตรา ๓๒๙(๓) ทั้งนี้เพื่อประโยชน์สาธารณะ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๓๕ วรรคสอง ถือเป็นข้อยกเว้นความผิดฐานหมิ่นประมาท จำเลยที่ ๑ ซึ่งร่วมกันแถลงการณ์ตามฟ้องจึงไม่มีความผิด ส่วนคำให้สัมภาษณ์ของจำเลยที่ ๑ จึงเกินเลยไปจากแถลงการณ์ของกลุ่มพันธมิตร โดยดึงเอาสถาบันพระมหากษัตริย์มาอ้างอิงทำนองว่ามีความเป็นไปได้ที่หากโจทก์สามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ตนเองหลุดพ้นจากองค์กรตรวจสอบความรับผิด ซึ่งรับรองโดยมาตรา ๓๐๙ ได้แล้วย่อมเป็นเงื่อนไขข้อแรกนำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญหมวดพระมหากษัตริย์ เพื่อเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของไทยเป็นระบอบประธานาธิบดีแล้วทุกสิ่งเป็นไปได้หมดนั้น จำเลยที่ ๑ เบิกความเพื่อเติมว่า เป็นเพราะก่อนเกิดเหตุโจทก์กระทำมิบังควรต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ตามภาพถ่ายต่างๆ ในหนังสือพิมพ์ เอกสารหมาย ล.๑๐ ทั้งดึงเบื้องสูงมาเกี่ยวกับการเมืองตามข่าวเอกสารหมาย ล.๒๕ รวมทั้งข้อเท็จจริงของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปัณโน ว่า โจทก์จะเป็นประธานาธิบดี ตามเอกสารหมาย ล.๔๐ โดยหลังเกิดเหตุคดีนี้โจทก์ยังให้สัมภาษณ์จาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ จนหลายฝ่ายต้องออกมาปกป้องตามข่าวเอกสารหมาย ล.๒๖-ล.๙ ดังนั้นทางกลุ่มพันธมิตรและจำเลยที่ ๑ จึงให้สัมภาษณ์เสริมตอนท้ายว่า การจะนั่งเฉยๆยอมรับความชั่วช้าสามานย์เปลี่ยนสภาพสังคมไทยไปโดยอำนาจที่มีอยู่ แก้อะไรก็ได้ตามความต้องการ ทำไม่ได้ โดยจำเลยที่ ๑ เบิกความอธิบายว่า หากรัฐบาลไม่ฟังเสียงประชาชนทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องได้เนื่องจากมีอำนาจแล้ว จะนำไปสู่ความแก้ไขรัฐธรรมนูญหมวดต่างๆได้ตามต้องการเพียงซื้อเสียงให้ได้มาซึ่งอำนาจในสภาเพื่อแสวงหาประโยชน์ โดยเปรียบเทียบให้เห็นอันตรายว่าสภาย่อมแก้ไข ล้มล้าง นิรโทษกรรมความผิดของตน ตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๓๐๙ หรือแม้ทำให้ตนเป็นประธานาธิบดีคนแรกย่อมทำได้ทุกอย่าง
การกระทำตามภาพถ่ายในหนังสือพิมพ์ ซึ่งจำเลยที่ ๑ กล่าวอ้าง ปรากฏมีคำว่าทรงพระเจริญที่ธงชาติไทย ซึ่งประชาชนบางส่วนถือนำมาต้อนรับโจทก์และมีชื่อโจทก์เป็นภาษาอังกฤษที่ธงชาติไทยติดไว้ ในสนามฟุตบอลภาพดังกล่าวถึงจะไม่สามารถบ่งชี้ได้แน่ชัดว่า โจทก์เป็นคนจัดให้มีการกระทำนั้นขึ้นมา เนื่องจากอาจเป็นความสมัครใจหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของบุคคลอื่นก็เป็นได้ รวมทั้งคำชี้แจงของโจทก์ตามข่าวเอกสารหมาย ล.๒๕ แม้จะไม่บังควรที่กล่าวถึงเบื้องสูงให้มาเกี่ยวข้องกับการเมืองแต่ก็อยู่ในลักษณะของคนตั้งใจที่จะปฏิบัติตามรับสั่งเท่านั้น ยังไม่ถึงขนาดเป็นไปได้ชัดว่า โจทก์มีเจตนาล้มล้างรัฐธรรมนูญมาเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นประธานาธิบดี ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๖๘ เพราะได้ความจากทนายโจทก์ถามค้านพยานฝ่ายจำเลยโดยสรุปว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญยังคงเป็นไปตามกระบวนการแห่งกฎหมาย เพื่อแก้ไขบางมาตราไม่ใช่ทั้งฉบับ แต่จำเลยที่ ๑ ยังมีข้อเท็จจริงตามคำเทศนาของหลวงตามหาบัว เอกสารหมาย ล.๔๐ น่าเชื่อถือศรัทธาเป็นที่ประจักษ์บอกเล่าถึงโจทก์ที่หวังอาจเอื้อมเป็นประธานาธิบดี ดังนั้นเมื่อจำเลยที่ ๑ นำเรื่องราวต่างๆของโจทก์มาประกอบรวมกันทั้งหมดแล้วจึงอาจทำให้เข้าใจไปได้ว่า โจทก์อาจต้องการล้มล้างรัฐธรรมนูญจริงจึงให้สัมภาษณ์ไปในสาธารณะเช่นนั้น คำให้สัมภาษณ์ของจำเลยที่ ๑ ยังพอถือว่าเป็นการแสดงความคิดเห็นหรือข้อความโดยสุจริต ตามความเชื่อของตนว่าเป็นความจริง
ตามข่าวเอกสารหมาย ล.๒๕-ล.๒๘ ศาลตรวจอ่านดูแล้วทราบว่าโจทก์ให้สัมภาษณ์พาดพิงและล่วงละเมิดสถาบันเบื้องสูงอย่างรุนแรง และเป็นคำพูดที่ไม่เหมาะสมชี้ให้เห็นจุดประสงค์ที่แท้จริงของโจทก์ในการเคลื่อนไหวทางการเมืองช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยมีข่าวว่า เหล่าทัพออกมาชี้แจงให้ผู้ใต้บังคับบัญชาระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ และเทิดทูลพระมหากษัตริย์
ข้อเท็จจริงตามข่าวสารดังกล่าวจึงมีมูลเหตุให้น่าเชื่อไปได้ว่า โจทก์มีพฤติกรรมดังกล่าวจริง สอดคล้องกับข้อเท็จจริงของโจทก์ต่างๆที่ปรากฏอยู่ในคำพิพากษาของศาลอาญาซึ่งยกฟ้องโจทก์คดีหมิ่นประมาทเรื่องกลับมาเป็นประธานาธิบดี เอกสารหมาย ล.๒๙ ทำให้ข้อเท็จจริงต่างๆ ย้อนกลับไปยังให้สัมภาษณ์ของจำเลยที่ ๑ ขณะเกิดเหตุว่าอาจมีมูลความจริงตามที่เชื่อก็ได้ สมควรยกประโยชน์ในทางเป็นคุณให้แก่จำเลยที่ ๑ คดีรับฟังได้ว่า คำให้สัมภาษณ์ดังกล่าวเป็นการกระทำโดยสันติวิธี ด้วยเจตนาดีต่อประเทศชาติ จึงเป็นการแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต ป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนในฐานะประชาชนภายใต้รัฐธรรมนูญมีสิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญตามครองธรรมแล้ว จำเลยที่ ๑ จึงไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๙(๑)
พิพากษายกฟ้อง