xs
xsm
sm
md
lg

“สนธิ” เตือนอย่าล้ำเส้น 2 เงื่อนไข พธม.พร้อมยกระดับไล่รัฐบาล ท้า “เหลิม-เพรียวพันธ์” รื้อคดียิง 200 นัด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
“สนธิ” เตือนอย่าประมาทจุดยืนพันธมิตรฯ ห้ามแตะสถาบัน-ล้างผิดทักษิณ ล้ำเส้นเมื่อไหร่ พร้อมชุมนุม ยกระดับไล่รัฐบาล ชี้ การแก้ รธน.ยังไม่เห็นเนื้อหา ปล่อยสภา-พรรคเพื่อไทย เผชิญหน้ากับศาลเอาเอง แฉ “คำรณวิทย์” รับใบสั่งการเมืองปราบผู้ชุมนุม แลกตำแหน่ง เตือน “เหลิม-เพรียวพันธ์” อย่าอวดเก่งกับประชาชน แน่จริงรื้อคดีที่ตนถูกยิง 200 นัด


 คลิกที่นี่ เพื่อฟัง “คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ให้สัมภาษณ์” 

วันนี้ (6 มิ.ย.) ที่บ้านพระอาทิตย์ นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวในระหว่างการแถลงข่าวผลการประชุมแกนนำพันธมิตรฯ ว่า โดยพื้นฐานแล้ว เราเคยประกาศมาตั้งแต่ต้น ว่า เราจะออกมาชุมนุมเรียกประชาชนเข้ามาต่อต้านในแค่ 2 กรณีเท่านั้น คือ การที่มีกระบวนการ หรือดำเนินการใดๆ ก็ตามที่กระทำโดยรัฐบาลหรือรัฐสภา ที่จะทำให้เป็นการสั่นคลอน หรือทำลายสถาบันกษัตริย์ ไม่ว่าจะเป็นการแก้มาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญา หรือการลดพระราชอำนาจ เมื่อใดก็ตามที่เกิดเหตุนี้เราจะออกมาทันที และอีกเรื่องหนึ่ง คือ เมื่อใดก็ตามมีการดำเนินการทางกฎหมายเพื่อยกโทษความผิดให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ต้องหาหนีคดีอาญาแผ่นดิน และพรรคพวกโดยไม่ให้มีผิด เราก็จะออกเช่นกัน ซึ่งในแถลงการณ์ได้บอกอย่างชัดเจนว่าเราได้ทำตามสัจวาจาที่เราพูด

ส่วนเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น ในขณะนี้เรายังถือว่ายังไม่เห็นเนื้อหาสาระ ยังไม่ทราบ ต้องยกประโยชน์ให้กับจำเลยเสียก่อน แต่ว่าถ้าเมื่อใดก็ตามการร่างรัฐธรรมนูญ ถ้ามีเนื้อหาเข้าข่ายสองประการ ที่เราตั้งเป็นเงื่อนไขไว้ เราก็จะออกมาชุมนุม ส่วน พ.ร.บ.ปรองดอง นั้น เหตุที่เราต้องชุมนุม และเราไม่ถอย เพราะ พ.ร.บ.ปรองดอง นั้น เป็นการเอาเข้าไปตัดสินใจในสภาด้วยการยกมือ โดยใช้เสียงข้างมาก โดยไม่ฟังเสียงประชาชนทั่วประเทศ ซึ่ง พ.ร.บ.ปรองดอง นี้ ก่อนที่จะทำ หากมีการฟังเสียงประชาชนทั่วประเทศอยู่ก่อน แล้วเอาผลของประชาชนมานั้น ก็จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เราพิจารณาอย่างหนัก ว่า เราควรจะชุมนุมหรือไม่ชุมนุม แต่เพียงเพราะมีเสียงข้างมากในสภา แล้วจะใช้วิธีพวกมากลากไป พันธมิตรฯ พูดมานานแล้วว่าเราไม่ยอมเด็ดขาด และผลของการออกมาของพันธมิตรฯ นั้น ก็พิสูจน์ได้ชัดว่าประชาชนมีเป็นจำนวนมากที่ไม่เห็นด้วย ส่วนเรื่องการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร เรื่องการแก้รัฐธรรมนูญในวาระ 3 หรือไม่นั้น ก็ขอให้เป็นหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎร จะต้องตกลงใจเอง ว่า จะฟังคำสั่งศาล หรือจะฝืนคำสั่งศาล เพราะถือว่าเราได้ทำหน้าที่สมบูรณ์แล้วในเรื่องนี้ เพราะศาลได้มีคำสั่งวินิจฉัยชี้ออกมาแล้ว หากไม่ทำตามก็เป็นเรื่องที่ศาลรัฐธรรมนูญจะต้องเดินหน้าต่อไป

“อย่าได้ประมาทจุดยืนของพันธมิตรฯ ในสองเรื่องนี้ เรื่องมาตรา 112 สถาบันพระมหากษัตริย์ กับเรื่องการออกกฎหมายเพื่อล้างโทษ เรื่องอื่นจะโยกย้ายข้าราชการอย่างไร จะตั้งงบประมาณกันอย่างไร เป็นเรื่องของนักการเมืองต้องแก้กันเอง แต่ถ้ามาสองเรื่องนี้แล้วเราถือว่าเราตีเส้นให้เรียบร้อยแล้ว ถ้าล้ำเส้นเมื่อไหร่ เราพร้อมจะออกทุกเมื่อ และผมเชื่อว่าประชาชนคนไทยทั่วประเทศ พร้อมที่จะออกมายืนข้างหลังเส้นนี้ แล้วยันเพื่อไม่ให้ใครมาล้ำเส้นเส้นนี้ อยากจะเตือนไว้สักนิดนึง อย่าล้ำเส้น” นายสนธิ กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า วันที่จะมีการประชุมร่วมรัฐสภา ในวันที่ 8 มิ.ย.นี้ จะไม่มีการชุมนุมออกมา นายสนธิ กล่าวว่า พันธมิตรฯ จะไม่ยุ่ง ถ้าจะไปผ่านวาระ 3 เป็นเรื่องของสภาผู้แทนราษฎร พรรคเพื่อไทย กับศาลรัฐธรรมนูญ ต้องเผชิญหน้ากันเอง แต่ถ้าจะสอดแทรก พ.ร.บ.ปรองดอง เมื่อไหร่ เราจะออกมาชุมนุมทันทีเลย เมื่อถามว่า มั่นใจหรือไม่ว่าจะไม่มีการสอดแทรกวาระ พ.ร.บ.ปรองดอง นายสนธิ กล่าวว่า ไม่แน่ใจ เพราะว่าไม่มีอะไรที่เชื่อใจรัฐบาลชุดนี้ได้ และอย่างที่เราเขียนในแถลงการณ์ชัดเจนแล้ว ว่า หากเอา พ.ร.บ.ปรองดอง เข้ามา นอกจากจะประท้วงเรื่อง พ.ร.บ.ปรองดองแล้ว ก็จะยกระดับเป็นการไล่รัฐบาลด้วย และคราวนี้ยืดเยื้อเลย

เมื่อถามว่า ประเมินว่า พรรคเพื่อไทยจะถอยเรื่องนี้หรือไม่ นายสนธิ กล่าวว่า ไม่ทราบ ไม่ทราบจริงๆ เพราะว่าไม่เคยเชื่อใจอะไรได้เลยแม้แต่นิดเดียว เพราะเป็นการพูดจาที่ไม่เคยอยู่กับร่องกับรอย เนื่องจากรัฐบาลไม่เคยมีสิทธิในการตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง ทุกอย่างต้องฟังมาจากเมืองนอกทั้งสิ้น เมื่อถามว่า แล้วคนเมืองนอกจะว่ายังไง นายสนธิ ตอบว่า ไม่ทราบ ตนอยากรู้เหมือนกัน ตอบแทนตนหน่อยได้ไหม ที่ปวดหัวทุกวันนี้ เพราะว่าเราไม่รู้จริงๆ ว่า คนเมืองนอกจะเอายังไง ซึ่งขึ้นอยู่กับคนที่อยู่เมืองไทยอยากจะเอาใจคนเมืองนอก ก็เลยแข่งกันเสนอ เพราะอยากได้รางวัลกัน อยากได้ตำแหน่งกัน อยากได้หน้ากัน นี่คือ ปัญหาใหญ่ของรัฐบาลชุดพรรคเพื่อไทย

เมื่อถามว่า คิดเห็นอย่างไรกับการสั่งโยกย้ายนายตำรวจในกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) นายสนธิ กล่าวว่า บรรยากาศวันนี้ เริ่มกลับไปเหมือนสมัยยุคที่ตนต่อสู้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ เริ่มมีการใช้กำลังตำรวจมากดดัน ยกตัวอย่างให้ฟังง่ายๆ คนขับรถของตนกลับบ้านโดนค้นตัวว่า พกอาวุธหรือเปล่า เพราะฉะนั้นอย่าไปประหลาดใจ ในขณะนี้ตำรวจชุดนี้กำลังจะเน้นที่จะมาปราบปรามแกนนำ ใช้อำนาจรัฐเข้าไปปราบปรามแกนนำ ตนจะยังไม่พูดถึง พล.ต.ต.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง รักษาราชการ ผบช.น.แต่เอาเป็นว่า เรารู้อยู่แล้วว่า พล.ต.ต.คำรณวิทย์ มาเพราะใคร อีกอย่างหนึ่งก็เหมือนกับสมัยที่มีการปราบปรามประชาชนในวันที่ 7 ต.ค.2551 เพื่อแลกกับตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจนครบาลในยุคนั้น งานนี้เขาไม่ได้ต่างกัน

นายสนธิ กล่าวต่อว่า ถ้าจะดูตำรวจให้ดูประวัติ เมื่อไปตรวจสอบประวัติ พล.ต.ต.คำรณวิทย์แล้วก็จะรู้ทันทีว่าจิตใจแกเป็นอย่างไร แล้ว พล.ต.ต.คำรณวิทย์ ก็เป็นค่ายเดียวกับ พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา รองผบ.ตร.ค่ายนี้สองคนนี้เขาเคยลงไปปราบปรามทางภาคใต้อย่างรุนแรงมาแล้ว มีการล้มหายตายจากของพ่อแม่พี่น้องชาวมุสลิม ที่จังหวัดนราธิวาส แล้วล้มหายตายจากกันแบบหาศพไม่เจอ เดินๆ อยู่ถูกอุ้มหายไป พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ ก็มีเรื่องอยู่ที่ ป.ป.ช.ยังไม่ได้ชี้มูลสักที ทั้งๆ ที่มีคนไปให้การกล่าวหา พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ แล้ววันนี้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร.ตั้ง พล.ต.ต.คำรณวิทย์ มา ตั้งมาเพราะการเมืองบอกให้ตั้ง ซึ่งตนไม่เชื่อว่า พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ จะเป็นคนที่สั่ง เพราะจะเกษียณอายุในเดือนกันยายนนี้แล้ว ไม่มีเหตุอะไรก็ตามที่จะหาเรื่องเข้ากับตัวเอง

“ผมก็อยากจะฝากคุณคำรณวิทย์ ไว้ด้วย สิ่งแรกที่คุณคำรณวิทย์พูด สะท้อนให้เห็นเจตนา และสะท้อนให้เห็นจิตใจ ว่า ต้องการจะใช้วิธีการใดในการที่จะมาสลายการชุมนุมของประชาชนที่ชุมนุมตามสิทธิตามรัฐธรรมนูญ ในเมื่อเริ่มพูดด้วยคำว่าถนนหนทางนั้น อย่ามาชุมนุม เพราะจะทำให้ประชาชนเดือดร้อน แสดงว่า คุณคำรณวิทย์ ไม่เข้าใจหลักการรัฐธรรมนูญเลยแม้แต่นิดเดียว เมื่อคุณคำรณวิทย์ ไม่เข้าใจหลักการรัฐธรรมนูญ ก็น่ากลัวมากที่สังคมไทยมีตำรวจเช่นนี้ แล้วคิดออกเพียงแค่ประชาชนไม่มีสิทธิ์ ในฐานะที่พันธมิตรฯ อยู่รีรอดูเหตุการณ์ ผมไม่อยากให้คุณคำรณวิทย์ มีสองมาตรฐาน ไหนๆ พวกเสื้อแดงก็จะชุมนุมกันอยู่แล้ววันพรุ่งนี้ กรุณาจัดการให้พวกเสื้อแดงอย่ากีดขวางการจราจร ตามที่คุณคำรณวิทย์พูดสักหน่อย ไม่ใช่ว่าพอเสื้อแดงชุมนุมแล้วอะลุ้มอล่วยกัน แล้วพออีกหน่อยพันธมิตรฯ ออกแล้วไม่อะลุ้มอล่วย ผมเชื่อว่า เรื่องนี้จะเป็นเรื่องที่ถูกจับตามองมาก” นายสนธิ กล่าว

นายสนธิ กล่าวอีกว่า 7 ต.ค.2551 ทุกอย่างสำหรับนายตำรวจที่อยากได้ตำแหน่ง เป็นเรื่องที่สมมติ พอเวลาผ่านไปแล้ว ตัวเองต้องถูกดำเนินคดี เพราะว่าไปฆ่าประชาชน ไปทำร้ายประชาชน ฉะนั้น เมื่อมองย้อนหลังกลับไปแล้ว คำมั่นสัญญาของนักการเมืองที่จะให้ตำแหน่งแห่งที่ทางการเมืองนั้น มันไม่มีความหมายอีกต่อไปแล้ว เพราะว่าความจริง ก็คือว่า ตัวเองจะต้องถูกดำเนินคดีและตัวเองจะต้องถูกสังคมประณาม ที่สำคัญคือ สังคมจะประณาม เพราะว่าสิ่งที่พันธมิตรฯ ทำนั้น พันธมิตรฯ ไม่เคยพกอาวุธ พันธมิตรฯ มาชุมนุมอย่างสันติ พันธมิตรฯ ใช้กฎหมายรัฐธรรมนูญอย่างเคร่งครัดที่สุด และปราศจากอาวุธ

นายสนธิ ยังกล่าวฝากไปถึง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี และ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร.ตลอดจน พล.ต.ต.คำรณวิทย์ ว่า ก่อนที่จะคิดว่า พันธมิตรฯ นั้นมาชุมนุมแล้วเกะกะเส้นทางจราจร ช่วยกรุณารื้อฟื้นคดีที่ตนถูกยิง 200 นัดขึ้นมาได้หรือไม่ หรือว่าจะรอให้ตนโดนยิงอีก 200 นัด อย่ามาเก่งกับประชาชน หาผู้กระทำความผิดให้หน่อยได้หรือไม่ สมัยพรรคประชาธิปัตย์ ก็ไม่ยอมทำ สมัยพรรคเพื่อไทย ก็ไม่ยอมทำ ถ้าจะรักษากฎหมายให้มันมีมาตรฐานหน่อยได้หรือไม่ อย่ามาอวดเก่งกับประชาชนที่ไม่มีอาวุธ หลักฐานมีอยู่แล้วตนโดนยิง 200 นัด ถ้าจริงใจ จริงจัง เต็มใจ ก็รื้อคดีนี้ขึ้นมาทันทีเลย แล้วหาออกมาให้ได้ ว่าใครลอบยิงตน ซึ่งไม่ยาก เพราะผลการสอบสวนอยู่ในระดับหนึ่งที่สามารถชี้ตัวคนได้แล้ว ผลการสอบสวนของเก่าก็มี รื้อสักหน่อยอย่านั่งเฉย

เมื่อถามว่า เงื่อนไขการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ รวมถึงการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หรือไม่ นายสนธิ กล่าวว่า ถูกต้อง ถ้ามีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และเปิดโอกาสให้มีการวิพากษ์วิจารณ์กษัตริย์ได้เหมือนอย่างที่เขากำลังเดินอยู่ เราสู้แน่นอน อยู่ในเงื่อนไขข้อแรก

เมื่อถามว่า ในแง่เหตุผลหรือข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ ที่คิดว่า มาตรา 112 มีปัญหาจะว่าอย่างไร นายสนธิ กล่าวว่า ตนคิดว่า คณะนิติราษฎร์ไม่ได้ใช้หลักการ และไม่ได้ใช้เหตุผลที่แท้จริง เหตุผลที่แท้จริงปัญหา ก็คือว่า การดำเนินคดีกับคนซึ่งโดนมาตรา 112 นั้น ควรจะมีระบบและระเบียบที่รอบคอบมากกว่านี้ ถ้าคณะนิติราษฎร์ บอกว่า การดำเนินคดีจะต้องรอบคอบมากกว่านี้ อันนี้ฟังได้ แต่ถ้าหากจะมาบอกว่า มาตรา 112 นั้นไม่ถูกต้อง พระมหากษัตริย์ควรที่จะถูกใครก็ได้วิพากษ์วิจารณ์ได้เหมือนประชาชนทั่วไป อันนี้ไม่ใช่ แต่ถ้าบอกว่า ถ้าสมมติว่าใครก็ตามหมิ่นพระบรมเดชานุภาพแล้วไม่ใช่ จู่ๆ ตำรวจมาเล่นงานแล้วก็ส่งฟ้องทันที อันนี้จะแก้ไขตรงนี้ตนเห็นด้วย เปลี่ยนกระบวนการให้มันรอบคอบกว่านี้แล้วให้มันเป็นธรรม
กำลังโหลดความคิดเห็น