พันธมิตรฯ แถลงท่าที หนุนใช้วิธีการทางกฎหมายจัดการ ส.ส.-ส.ว.-นักการเมืองดันทุรังล้มล้างรัฐธรรมนูญ เตือนสภาฯ ฟังคำสั่งศาล รธน.ให้ระงับลงมติร่างแก้ไข รธน.วาระ 3 ไว้ก่อน ลั่นหากเอา พ.ร.บ.ปรองดองเข้าสภาฯ เมื่อไหร่ ชุมนุมต้านทันที
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง"อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ให้สัมภาษณ์"
เมื่อเวลาประมาณ 12.30 น. วันนี้(6มิ.ย.) ที่บ้านพระอาทิตย์ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้แถลง ผลการประชุมแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ประจำวันพุธที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2555 เรื่อง "เคารพและรอผลคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญกรณีนักการเมืองกระทำผิดตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 และเคลื่อนไหวพรบ.ล้างผิดให้ทักษิณและพวกอย่างถึงที่สุด" โดยมีผลการประชุมดังนี้
1. พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้มีแถลงการณ์ ฉบับที่ 2/2555 ตามฉันทานุมัติจากการประชุมพันธมิตรฯ ทั่วประเทศเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2555 ในข้อ 3 ระบุว่า:
"3. เราขอยืนยันว่าการชุมนุมครั้งใหญ่นั้นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยยังคงมีความจำเป็นต้องใช้การชุมนุมเพื่อเคลื่อนไหวต่อไป ภายใต้เงื่อนไขดังต่อไปนี้ คือ
3.1 มีการดำเนินการใด ๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือออกกฎหมายอื่นใด ที่มีความชัดเจนว่าจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสถาบันพระมหากษัตริย์หรือลดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์
3.2 มีการดำเนินการใด ๆ ก็ตามไม่ว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือออกกฎหมายอื่นใด ที่มีความชัดเจนว่าจะนำไปสู่การนิรโทษกรรมให้กับนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร และพวก
3.3 เมื่อเหตุการณ์บ้านเมืองเข้าสู่สถานการณ์ความเหมาะสมที่ประชาชนต้องการการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยครั้งใหญ่
ภายใต้เงื่อนไข 3 ประการดังกล่าวข้างต้น เกิดขึ้นเมื่อใด พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยพร้อมจัดให้มีการชุมนุมใหญ่โดยทันที"
ด้วยเหตุผลนี้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจึงถือว่า ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติ ซึ่งมีเนื้อหาลบล้างความผิดให้กับทักษิณและพวกอย่างชัดเจนเข้าเงื่อนไขที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยต้องออกมาชุมนุมเคลื่อนไหว และแกนนำพันธมิตรฯ ได้ทำตามสัจจะวาจาที่ให้ไว้กับพี่น้องประชาชนไปแล้วด้วยการชุมนุมวันที่ 30 พฤษภาคม 2555 - 1 มิถุนายน 2555 ซึ่งการชุมนุมเป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อยและประสบความสำเร็จด้วยดี
2. แม้ว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อฉีกรัฐธรรมนูญ 2550 จะน่าเชื่อได้ว่าสุดท้ายแล้วจะนำไปสู่การลบล้างความผิดให้กับนักโทษชายทักษิณและพวก แต่ก็ยังอยู่ในระดับการคาดการณ์ วิเคราะห์ และประเมินเหตุการณ์ในอนาคตที่ยังไม่ได้เกิดขึ้น จึงยังไม่สุกงอมเพียงพอที่จะเข้าเงื่อนไขการชุมนุมเคลื่อนไหวมวลชน
อย่างไรก็ตามการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้น่าจะเข้าข่ายเป็นการล้มล้างรัฐธรรมนูญ ฉบับ 2550 ทั้งฉบับ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ปัจจุบันและเป็นปัญหาที่สามารถมีข้อยุติได้ด้วยบทบัญญัติทางกฎหมาย พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจึงแสดงจุดยืนคัดค้านตามแถลงการณ์พันธมิตรฯ ฉบับที่ 1/2555 ลงวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2555 โดยกำหนดวิธีการในชั้นนี้โดยได้ประกาศมาตรการความตอนหนึ่งว่า:
"ให้ดำเนินคดีอาญาต่อผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และ/หรือถอดถอน และ/หรือยุบพรรค ทั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา คณะรัฐมนตรี และพรรคการเมือง ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดล้มล้างรัฐธรรมนูญครั้งนี้ โดยมอบหมายให้นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยดำเนินการต่อไป"
หลังจากนั้นปรากฏว่าเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2555 พันธมิตรฯ ได้ยื่นหนังสือถึงองค์กรเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย 3 แห่ง ได้แก่
1. ยื่นหนังสือต่ออัยการสูงสุดเพื่อส่งให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเพื่อสั่งให้นักการเมืองเลิกการกระทำดังกล่าว ยุบพรรค และเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้ง
2. ยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งเพื่อดำเนินการให้ยุบพรรคการเมือง และ
3. ยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเพื่อให้ดำเนินคดีอาญากับนักการเมือง 416 คน หากมีความผิดจริงจะมีโทษสูงสุดคือประหารชีวิต
ต่อมาวันที่ 1 มิถุนายน 2555 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้อาศัยรัฐธรรมนูญมาตรา 68 มีคำวินิจฉัยสั่งให้นักการเมืองในรัฐสภาชะลอการลงมติฉีกรัฐธรรมนูญ 2550 ในวาระที่ 3 และรับคำร้อง 5 กรณี จึงถือได้ว่าขบวนการพิจารณาในคดีนี้ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ดังนั้นเราขอแสดงความเคารพและสนับสนุนขบวนการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ
ทั้งนี้สมาชิกรัฐสภาพึงจะต้องพิจารณาด้วยว่า บุคคลและคณะบุคคลที่ไม่เห็นด้วยและเห็นด้วยกับคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญนั้นอยู่ในระดับเพียงแค่ความเห็นที่ไม่สามารถจะมีข้อยุติได้ แต่รัฐธรรมนูญมาตรา 216 วรรคห้า บัญญัติผลผูกพันในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเอาไว้ว่า:
"คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล และองค์กรอื่นของรัฐ"
และรัฐธรรมนูญมาตรา 68 วรรคสามบัญญัติเอาไว้ว่า:
"ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้พรรคการเมืองใดเลิกกระทำการตามวรรคสองศาลรัฐธรรมนูญอาจสั่งยุบพรรคการเมืองดังกล่าวได้"
จึงถือว่ากรณีลงมติล้มล้างรัฐธรรมนูญวาระที่ 3 เป็นเรื่องที่ยังอยู่ในอำนาจการพิจาณาของศาลรัฐธรรมนูญที่ทุกฝ่ายต้องให้การเคารพและรอคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เว้นเสียแต่ว่าเนื้อหาของรัฐธรรมนูญได้ปรากฏอย่างชัดเจนต่อมาว่าจะมีการลบล้างความผิดให้กับนักโทษชายทักษิณและพวก หรือมีเนื้อหาที่มีการลดพระราชอำนาจหรือลดโครงสร้างของสถาบันพระมหากษัตริย์ หากกรณีดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อใดพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็จะเคลื่อนไหวชุมนุมโดยทันที และการพิจารณาใดๆ ของรัฐสภาในระหว่างที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งถือเป็นความเสี่ยงที่สมาชิกรัฐสภาจะพิจารณาและรับความเสี่ยงตลอดจนเผชิญหน้าผลทางกฎหมายเอาเอง ดังนั้นหากสมาชิกรัฐสภายังดึงดันที่จะลงมติฉีกรัฐธรรมนูญ 2550ในวาระที่ 3 ต่อไป ก็ขอให้ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาลรัฐธรรมนูญในการดำเนินการมาตรการต่อไป
อย่างไรก็ตาม หาก พ.ร.บ.ว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติ เข้าสู่วาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อใด พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยขอยืนยันว่าจะเคลื่อนไหวคัดค้านอย่างถึงที่สุด และพร้อมจะยกระดับการชุมนุมเพื่อให้รัฐบาลรับผิดชอบโดยทันที
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
6 มิถุนายน พ.ศ. 2555
ณ บ้านพระอาทิตย์”
คำต่อคำ แกนนำฯ แถลงเพิ่มเติม
สนธิ ลิ้มทองกุล
โดยพื้นฐานแล้วเราเคยประกาศมาตั้งแต่ต้น อย่างที่ท่านโฆษกพันธมิตรฯ ได้พูดมาแล้ว ว่าเราจะออกมาชุมนุมเรียกประชาชนเข้ามาต่อต้านในแค่ 2 กรณีเท่านั้น กรณีแรกคือการที่มีกระบวนการ หรือดำเนินการใดๆ ก็ตาม ที่กระทำโดยรัฐบาล หรือรัฐสภา ที่จะทำให้เป็นการสั่นคลอน หรือทำลายสถาบันกษัตริย์ ไม่ว่าจะเป็นการแก้มาตรา 112 หรือการลดพระราชอำนาจ อันนี้ชัดเจน เมื่อใดก็ตามที่เกิดเหตุนี้เราจะออกมาทันที
เรื่องที่ 2 เมื่อใดก็ตามมีการดำเนินการทางกฎหมาย เพื่อยกโทษความผิดของทักษิณ ชินวัตร และพรรคพวก โดยไม่ให้มีผิด เราก็จะออกเช่นกัน ซึ่งเมื่อกี้นี้ในแถลงการณ์ก็บอกชัดเจนว่า เราได้ทำสัจจะวาจาที่เราพูด
ส่วนเรื่องรัฐธรรมนูญนั้น อย่างที่คุณปานเทพได้พูดนั้น ในขณะนี้เรายังถือว่ายังไม่เห็นเนื้อหาสาระ ยังไม่ทราบ ต้องยกประโยชน์ให้กับจำเลยเสียก่อน แต่ว่าถ้าเมื่อใดก็ตาม การร่างรัฐธรรมนูญถ้ามีเนื้อหาเข้าข่าย 2 ประการที่เราตั้งเป็นเงื่อนไขไว้ เราก็จะออกมาชุมนุม พ.ร.บ.ปรองดอง นั้น เหตุที่เราต้องชุมนุมและเราไม่ถอย เพราะ พ.ร.บ.ปรองดอง นั้น เป็นการเอาเข้าไปตัดสินใจในสภาด้วยการยกมือ โดยใช้เสียงข้างมาก โดยไม่ฟังเสียงประชาชนทั่วประเทศ ซึ่ง พ.ร.บ.ปรองดอง นี้ก่อนที่จะทำ หากมีการฟังเสียงประชาชนทั่วประเทศอยู่ก่อน แล้วเอาผลของประชาชนทั่วประเทศมานั้น ก็จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เราพิจารณาอย่างหนักว่าเราควรจะชุมนุมหรือไม่ชุมนุม แต่เพียงเพราะมีเสียงข้างมากในสภา และจะใช้วิธีพวกมากลากไป พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยพูดมานานแล้วว่า เราไม่ยอมเด็ดขาด และผลของการออกมาของพันธมิตรฯ นั้น ก็พิสูจน์ได้ชัดว่าประชาชนมีเป็นจำนวนมากที่ไม่เห็นด้วย
ส่วนเรื่องของการพิจารณาของสภาในเรื่องวาระ 3 หรือไม่นั้น ก็ขอให้อย่างที่ท่านโฆษกพันธมิตรฯ พูดชัดเจน เป็นหน้าที่ของสภาจะต้องตกลงใจเอง ว่าจะฟังคำสั่งศาล หรือจะฝืนคำสั่งศาล ถือว่าเราได้ทำหน้าที่ของเราสมบูรณ์แล้วในเรื่องนี้ เพราะศาลได้มีคำสั่งวินิจฉัยชี้ออกมาแล้ว หากไม่ทำตาม ก็เป็นเรื่องที่ศาลจะต้องเดินหน้าต่อไป
ช่วงถาม–ตอบ
ถาม -
สนธิ - พันธมิตรฯ จะไม่ยุ่ง ถ้าจะไปผ่านวาระ 3 เป็นเรื่องของสภา พรรคเพื่อไทย กับศาลรัฐธรรมนูญ ต้องเผชิญหน้ากันเอง แต่ถ้าจะสอดแทรก พ.ร.บ.ปรองดอง เมื่อไร เราจะออกทันทีเลย
ถาม - แน่ใจไหมว่าเขาจะไม่สอดแทรก
สนธิ - ไม่แน่ใจ เพราะว่าไม่มีอะไรที่เชื่อใจรัฐบาลชุดนี้ได้ และอย่างที่เราเขียนในแถลงการณ์ชัดเจนแล้วว่าหากเอา พ.ร.บ.ปรองดอง เข้ามา นอกจากจะประท้วงเรื่อง พ.ร.บ.ปรองดอง แล้ว จะยกระดับเป็นการไล่รัฐบาลด้วย และคราวนี้ยืดเยื้อเลย
ถาม - ประเมินว่ารัฐบาลและพรรคเพื่อไทยจะถอยไหม
สนธิ - ไม่ทราบ ไม่ทราบจริงๆ เพราะว่าไม่เคยเชื่อใจอะไรได้เลยแม้แต่นิดเดียว เพราะเป็นการพูดจาที่ไม่เคยอยู่กับร่องกับรอย เพราะว่าเนื่องจากรัฐบาลไม่เคยมีสิทธิในการตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง ทุกอย่างต้องฟังมาจากเมืองนอกทั้งสิ้น
ถาม - แล้วคนเมืองนอกจะว่าอย่างไร
สนธิ - ไม่ทราบ ผมอยากรู้เหมือนกัน คุณตอบแทนผมหน่อยได้มั้ย ที่ปวดหัวทุกวันนี้เพราะว่าเราไม่รู้จริงๆ ว่าคนเมืองนอกจะเอาอย่างไร คนเมืองนอกจะเอาอย่างไร ขึ้นอยู่กับคนที่อยู่เมืองไทยอยากจะเอาใจคนเมืองนอก ก็เลยแข่งกันเสนอ เพราะอยากได้รางวัลกัน อยากได้ตำแหน่งกัน อยากได้หน้ากัน นี่คือปัญหาใหญ่ของรัฐบาลชุดเพื่อไทย
พล.ต.จำลอง ศรีเมือง
ผมมีเรื่องเพิ่มเติมนิดหนึ่งนะครับ วันนี้นอกจากเรา คือแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รุ่น 1 และรุ่น 2 ประชุมกันเรื่องทีท่าของพันธมิตรฯ ต่อสถานการณ์ปัจจุบันนี้แล้ว เรายังมีการประชุมอีกเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือ แกนนำรุ่น 1 และรุ่น 2 มีความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่า ขอให้คุณประพันธ์ คูณมี และคุณปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ มาเป็นแกนนำรุ่นที่ 2 ด้วย และคุณปานเทพนั้นก็ต้องทำหน้าที่นี้ต่ออีกหน้าที่หนึ่งก็คือการเป็นโฆษกของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยครับ
สนธิ ลิ้มทองกุล
ผมชี้แจงนิดหนึ่งนะครับ อย่าได้ประมาทจุดยืนของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในเรื่อง 2 เรื่องนี้ เรื่องมาตรา 112 สถาบันกษัตริย์ กับเรื่องการออกกฎหมายเพื่อล้างโทษ เรื่องอื่น จะโยกย้ายข้าราชการอย่างไร จะตั้งงบประมาณกันอย่างไร เป็นเรื่องของนักการเมืองต้องแก้กันเอง แต่ถ้ามา 2 เรื่องนี้แล้ว เราถือว่าเราตีเส้นให้เรียบร้อยแล้ว ถ้าล้ำเส้นเมื่อไร เราพร้อมจะออกทุกเมื่อ และผมเชื่อว่าประชาชนคนไทยทั่วประเทศไทยพร้อมที่จะออกมายืนข้างหลังเส้นนี้ แล้วยัน เพื่อไม่ให้ใครมาล้ำเส้นๆ นี้ อยากจะเตือนไว้สักนิดหนึ่ง อย่าล้ำเส้น
ถาม - การที่มีการสั่งโยกย้ายปรับผู้ที่มาดูแลของนครบาล
สนธิ - ผมเรียนอย่างนี้นะครับ บรรยากาศวันนี้เริ่มกลับไปเหมือนสมัยยุคที่ผมต่อสู้กับทักษิณ ชินวัตร เริ่มมีการใช้กำลังตำรวจมากดดัน ยกตัวอย่างให้ฟังง่ายๆ คนขับรถของผมกลับบ้านโดนค้นตัวว่าพกอาวุธหรือเปล่า เพราะฉะนั้นแล้วอย่าไปประหลาดใจ ในขณะนี้ตำรวจชุดนี้กำลังจะเน้นที่จะมาปราบปรามแกนนำ ใช้อำนาจรัฐเข้ามาปราบปรามแกนนำ ผมยังจะไม่พูดถึงคุณคำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง แต่เอาเป็นว่า เรารู้อยู่แล้วว่าคุณคำรณวิทย์มาเพราะใคร และอีกอย่างหนึ่ง ก็เหมือนกับสมัยที่มีการปราบปรามประชาชนในวันที่ 7 ตุลาคม เพื่อแลกกับตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจนครบาลในยุคนั้น งานนี้ก็ไม่ได้ต่างกัน เขาเรียกว่าถ้าจะดูตำรวจให้ดูประวัติ เมื่อไปเช็กประวัติคุณคำรณวิทย์แล้ว ก็จะรู้ทันทีว่าจิตใจแกเป็นอย่างไร แล้วคุณคำรณวิทย์ก็เป็นค่ายเดียวกับคุณภาณุพงศ์ สิงหรา ค่ายนี้ สองคนนี้ เคยลงไปปราบปรามทางภาคใต้อย่างรุนแรงมาแล้ว มีการล้มหายตายจากของพ่อแม่พี่น้องชาวมุสลิมที่ จ.นราธิวาส แล้วล้มหายตายจากกันแบบหาศพไม่เจอ เดินๆ อยู่ถูกอุ้มหายไป คุณภาณุพงศ์ สิงหรา ก็มีเรื่องอยู่ที่ ป.ป.ช. ยังไม่ได้ชี้มูลเสียที ทั้งๆ ที่มีคนไปให้การกล่าวหาคุณภาณุพงศ์ สิงหรา เพราะฉะนั้นแล้ว วันนี้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ตั้งคุณคำรณวิทย์มา ตั้งมาเพราะการเมืองบอกให้ตั้ง ผมไม่เชื่อว่า พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ จะเป็นคนที่สั่ง เพราะจะเกษียณอายุภายในเดือนกันยายนนี้แล้ว ไม่มีเหตุอะไรก็ตามที่จะหาเรื่องเข้าตัวเอง และผมก็อยากจะฝากคุณคำรณวิทย์ไปด้วย สิ่งแรกที่คุณคำรณวิทย์พูด สะท้อนให้เห็นเจตนา และสะท้อนให้เห็นจิตใจ ว่าต้องการจะใช้วิธีการใดในการที่จะมาสลายการชุมนุมของประชาชนที่ชุมนุมตามสิทธิ ตามระบอบรัฐธรรมนูญ หรือเมื่อเริ่มพูดด้วยการว่าถนนหนทางนั้น อย่ามาชุมนุม เพราะจะทำให้ประชาชนเดือดร้อน แสดงว่าคุณคำรณวิทย์ไม่เข้าใจหลักการรัฐธรรมนูญเลยแม้แต่นิดเดียว เมื่อคุณคำรณวิทย์ไม่เข้าใจหลักการรัฐธรรมนูญแล้ว ก็เป็นเรื่องที่น่ากลัวมากที่สังคมไทยมีตำรวจเช่นนี้ แล้วคิดออกเพียงแค่ ประชาชนไม่มีสิทธิ์
ในฐานะที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย อยู่รีรอดูเหตุการณ์ ผมไม่อยากให้คุณคำรณวิทย์มี 2 มาตรฐาน ไหนๆ พวกเสื้อแดงก็จะชุมนุมกันอยู่แล้ววันพรุ่งนี้ กรุณาจัดการให้พวกเสื้อแดงอย่ากีดขวางการจราจร ตามที่คุณคำรณวิทย์พูดเสียหน่อย ไม่ใช่ว่าพอเสื้อแดงชุมนุมแล้วอะลุ้มอล่วยกัน แล้วพออีกหน่อยพันธมิตรฯ ออกแล้วไม่อะลุ้มอล่วย ผมเชื่อว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องที่ถูกจับตามองมาก
พี่น้องสื่อมวลชนต้องรู้ 7 ตุลาคม ที่ผ่านมานี้ ทุกอย่างสำหรับนายตำรวจที่อยากได้ตำแหน่งแห่งที่มันเป็นเรื่องสมมุติ พอเวลาผ่านไปแล้วตัวเองต้องถูกดำเนินคดี เพราะว่าไปฆ่าประชาชนและทำร้ายประชาชน วันนั้น เมื่อมองย้อนหลังกลับไปแล้ว คำมั่นสัญญาของนักการเมืองที่จะให้ตำแหน่งแห่งที่ทางการเมืองนั้น มันไม่มีความหมายอีกต่อไปแล้ว เพราะว่าความจริงคือว่า ตัวเองจะต้องถูกดำเนินคดี และตัวเองจะต้องถูกสังคมประณาม ที่สำคัญคือ สังคมจะประณาม เพราะสิ่งที่พันธมิตรฯ ทำนั้น พันธมิตรฯ ไม่เคยพกอาวุธ พันธมิตรฯ มาชุมนุมอย่างสันติ พันธมิตรฯ ใช้กฎหมายรัฐธรรมนูญอย่างเคร่งครัดที่สุด และปราศจากอาวุธ
ผู้สื่อข่าว - เรื่องเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ รวมถึงการเคลื่อนไหวแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ด้วยหรือไม่
สนธิ - ถูกต้อง ถ้ามีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และเปิดโอกาสให้มีการวิพากษ์วิจารณ์กษัตริย์ ได้เหมือนอย่างที่เขากำลังเดินอยู่ เราสู้แน่นอน อยู่ในเงื่อนไขข้อแรก
ผู้สื่อข่าว - ในแง่เหตุผลหรือข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ที่ชี้ว่า มีปัญหาอย่างไรนั้น มองอย่างไร
สนธิ - ผมคิดว่า คณะนิติราษฎร์ไม่ได้ใช้หลักการ ไม่ใช้เหตุผลที่แท้จริง เหตุผลที่แท้จริง ปัญหาคือว่า การดำเนินคดีกับคนซึ่งโดนมาตรา 112 ควรจะมีระบบและระเบียบที่รอบคอบมากกว่านี้ ถ้าคณะนิติราษฎร์ บอกว่า การดำเนินคดีนั้นจะต้องรอบคอบมากกว่านี้ อันนี้ฟังได้ แต่ถ้าหากมาบอกว่า มาตรา 112 นั้นไม่ถูกต้อง พระมหากษัตริย์ควรจะถูกใครก็ได้วิพากษ์วิจารณ์ได้เหมือนประชาชนทั่วไป อันนี้ไม่ใช่ แต่ถ้าบอกว่า ถ้าสมมุติว่า ใครก็ตามหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ไม่ใช่จู่ๆ ตำรวจมาเล่นงานแล้วส่งฟ้องทันที อันนี้จะแก้ไขผมเห็นด้วย เปลี่ยนกระบวนการให้รอบคอบกว่านี้และให้เป็นธรรม
พล.ต.จำลอง - คำว่าวิพาษ์วิจารณ์มันเบาไป ที่แล้วๆ มาจนกระทั่งถึงบัดนี้ มีการใส่ร้ายป้ายสีพระองค์ท่านอย่างสาดเสียเทเสีย ถ้าเรายอมปล่อยไปจะกระทบกระเทือนความมั่นคงของชาติอย่างยิ่ง เราจึงยอมไม่ได้ จะเห็นได้ชัดว่า 2545-2552 เป็นเวลา 7 ปี คดีที่ทำผิดกฎหมาย มาตรา 112 มีเพิ่มขึ้นเป็น 100 กว่าคดี แต่ก่อนนี้ไม่เคยมี ที่เป็นเช่นนี้เพราะอะไร เพราะรัฐบาลที่แล้ว รวมทั้งรัฐบาลนี้ เพิกเฉย ไม่หาทางหยุดยั้งการหมิ่นเหม่ และการใส่ร้ายป้ายสีพระองค์ท่าน ถ้ายอมให้กฎหมายนี้ผ่านยิ่งแล้วกันใหญ่ จาก 100 กว่าคดี จะเพิ่มเป็นพันเป็นหมื่น แล้วประเทศชาติอยู่ได้อย่างไร
สนธิ - ผมอยากฝากไปที่ท่านรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ตลอดจนรักษาการผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ว่า ก่อนที่จะคิดว่าพันธมิตรฯ มาชุมนุมแล้วเกะกะเส้นทางจราจร ช่วยหน่อยได้ไหม ช่วยกรุณารื้อฟื้นคดีที่ผมโดนยิง 200 นัดขึ้นมาหน่อยได้ไหม ช่วยเถอะ ขอร้องเถอะ หรือว่าจะรอให้ผมโดนอีก 200 นัด ผมว่าอย่ามาเก่งกับประชาชน หาให้หน่อยได้ไหม สมัยพรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่ยอมทำ สมัยพรรคเพื่อไทยก็ไม่ยอมทำ ถ้าจะรักษากฎหมายให้มันมีมาตรฐานหน่อยได้ไหม อย่ามาอวดเก่งกับประชาชนที่ไม่มีอาวุธ หลักฐานมีอยู่แล้ว ผมโดนยิง 200 นัด ถ้าจริงใจ จริงจัง เต็มใจ ก็รื้อคดีนี้ขึ้นมา แล้วหาออกมาให้ได้ว่าใครลอบยิงผม ไม่ยาก เพราะผลการสอบสวนมันอยู่ในระดับที่สามารถชี้ตัวคนได้ สำนวนการสอบสวนของเก่าก็มี รื้อซะหน่อยซิครับ อย่านั่งเฉย
พล.ต.จำลอง - อ.สมเกียรติ เสนอผมว่า ตามที่คุณทักษิณโทรศัพท์เข้ามาในระหว่างที่มีการรวมตัวกันของลูกน้องคุณทักษิณ เป็นกลุ่มใหญ่มากนั้น ผมควรจะชี้แจงผู้สื่อข่าวด้วย ถึงแม้ว่าเป็นเรื่องส่วนตัวก็ตาม แต่มันเป็นเรื่องพาดพิง
คุณทักษิณโทรศัพท์เข้ามาบอกกับพลพรรคเขาว่า เขาถูกกลั่นแกล้ง เขารวยมามากมายเหลือเกินก่อนที่เขาจะมาเป็นนักการเมือง ไม่เชื่อให้ไปถาม พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ว่าตอนที่เชิญเข้ามาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เขามีเงิน 64,000 ล้านบาท อยู่แล้ว ไม่ใช่มามีทีหลัง เงินเพิ่มเข้ามาๆ หลังจากเป็นนักการเมือง เขารวยมาก่อน
ผมขอเรียนสื่อมวลชนว่า ผมไม่รู้ว่าคุณทักษิณมีเท่าไหร่ตอนนั้น คุณทักษิณไม่เคยบอกผม แล้วผมก็ไม่ถาม เพราะไม่รู้จะถามไปทำไม เพราะตอนนั้นที่ผมเอาแกมาเป็นนักการเมือง เนื่องจากว่า มีอยู่วันหนึ่ง แกขับรถไปที่บ้านผม เนื่องจากบ้านผมอยู่ไม่ไกลจากตึกชินวัตร ตึกเก่านัก แกก็บอกกับผมโดยใช้คำพูดที่เรียกกันเป็นภาษาพูดธรรมดาๆ ใครที่ผ่านโรงเรียนทหาร ตำรวจมารุ่นก่อนก็นับเป็นพี่ ใครเป็นรุ่นน้องเขาก็นับเป็นน้อง แกก็บอกผมว่า "พี่ในทางธุรกิจผมพอแล้วนะ ผมกินใช้เท่าไหร่ก็ไม่หมด ผมอยากจะทำงานการเมือง" ผมเป็นคนขี้เกรงใจคน เกรงใจไปหมดเลย ผมบอก คุณทักษิณไปตั้งพรรคใหม่เอาดีกว่า ถึงแม้ว่าตอนนั้นผมยังเป็นหัวหน้าพรรคพลังธรรม อยู่ก็ตาม คุณไปตั้งพรรคใหม่ คุณจะได้ทำตามที่คุณคิดทุกอย่าง ไม่ต้องทำตามกรอบของพรรคเก่าๆ ที่เขาวางไว้แล้ว คุณทักษิณแกก็หายไป ต่อมาแกมาบอกผมว่า ตั้งไม่ได้ หลังจากนั้นก็เลยมีเรื่องสืบเนื่องกันมา
ผมขอยืนยันว่า 64,000 ล้าน ที่ ดร.ทักษิณ พูดมานั้นผมไม่รู้ และผมไม่รู้ว่าจะต้องรู้ไปทำไม ผมรู้ว่าแกรวย แกมีเงิน แต่ผมไม่รู้ว่ามีเท่าไหร่ แกก็ไม่เคยบอกผม ผมก็ไม่เคยถามแก นี่คือความจริงที่อยากจะเรียนให้สื่อมวลชนทราบ เพราะ อ.สมเกียรติ สะกิดผมให้ผมชี้แจงครับ