ผ่าประเด็นร้อน
เสียดายที่เมื่อสองสามวันก่อนสื่อเดลินิวส์ออนไลน์ ได้รายงานข่าว ทักษิณ ชินวัตร เดินทางเข้าสหรัฐอเมริกา แล้วถูกคนไทยที่นั่นประท้วงต่อต้าน และในตอนท้ายของรายงานข่าวดังกล่าวได้อ้างถึงหนังสือพิมพ์รายปักษ์ที่ชื่อ Culture Map Houston ประจำวันที่ 6-12 ส.ค.ระบุว่าเป็นการเดินทางมา “เจรจาเรื่องธุรกิจน้ำมัน” ด้วย แต่ไม่มีรายละเอียดขยายความมากไปกว่านี้
แต่แค่รายงานเท่าที่เห็นก็ต้องตบอกผางทำนองว่า “ว่าแล้ว” และถือว่าไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ ตรงกันข้ามถ้าเป็นเรื่องการกุศล ไม่คิดหากำไรนี่สิแปลกมากกว่า เพราะคนคนนี้ได้ชื่อว่าในหัวมีแต่เรื่องธุรกิจทุกลมหายใจ และที่สำคัญธุรกิจด้านพลังงานและน้ำมันยังเป็นธุรกิจที่กำลังวิ่งเต้นไปแทบทุกแห่ง
โดยเฉพาะในพื้นที่แถบประเทศเพื่อนบ้านอาเซียน ทั้งในอ่าวไทยเขตพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทยกับกัมพูชา และล่าสุดกำลังรุกเข้าไปเจรจาทำธุรกิจด้านพลังงานในประเทศพม่าที่เพิ่งเริ่มเปิดประเทศให้นักลงทุนต่างชาติเข้าไปมากขึ้น
ที่ผ่านมา ทักษิณถูกวิจารณ์อย่างรุนแรงถึงเรื่องการทำธุรกิจที่เอาเปรียบใช้อำนาจรัฐเป็นใบเบิกทางเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจในครอบครัวโดยมิชอบอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ยุคที่ตัวเองเป็นนายกรัฐมนตรี จนเป็นสาเหตุก่อให้เกิดการรัฐประหาร มีการสอบสวน ถูกดำเนินคดีในข้อหาคอร์รัปชัน และนำไปสู่การยึดทรัพย์จำนวน 4.6 หมื่นล้านในที่สุด
ในปัจจุบัน แม้ไม่ได้มีอำนาจในฐานะผู้นำประเทศโดยตรง แต่สามารถใช้อิทธิพลชักใบอยู่เบื้องหลังกับรัฐบาลน้องสาวตัวเอง คือ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยสถานะที่เปิดเผยก็คือ “ที่ปรึกษารัฐบาล” ทั้งที่ตัวเองยังเป็นผู้หลบหนีคุกตะราง เนื่องจากต้องโทษจำคุก 2 ปี รวมทั้งมีหมายจับติดตัวอีกหลายคดี แต่ด้วยกลไกรัฐที่พิกลพิการทำให้เขาลอยนวล ในทางตรงกันข้ามกลับสร้างอิทธิพลในทางการเมืองไทยอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นว่าหากใครต้องการดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรี หรือผู้บริหารระดับสูงในหน่วยงานใดของรัฐก็ต้องไปพบ ทักษิณ หรือขอความเห็นชอบจากนักโทษจอมทุจริตคนนี้เสียก่อน
ถือว่าเป็นเรื่องที่แปลกพิลึก!!
อย่างไรก็ดี ถ้าโฟกัสเฉพาะเรื่องธุรกิจน้ำมัน เป็นเรื่องที่ ทักษิณ เดินหน้าเกาะติดมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ขายหุ้นชินคอร์ปทั้งหมดเพื่อวางเป้าหมายมาลงทุนในธุรกิจด้านพลังงาน ที่เขาเห็นว่าเป็นธุรกิจที่คาบเกี่ยวกับอำนาจทางการเมือง เป็นธุรกิจแห่งอนาคตและที่สำคัญสามารถทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำ โดยเฉพาะหากเชื่อมโยงกับอำนาจ ซึ่งเขามีความจัดเจนและมีเครือข่ายอยู่มากมายทั้งในและนอกประเทศ
หากย้อนกลับไปเมื่อครั้งมีอำนาจในฐานะผู้นำรัฐบาล เขาก็ริเริ่มแปรรูปบริษัท ปตท.จนบุคคลที่อยู่ในแวดวงการเมืองเครือข่ายใกล้ชิดต่างถือหุ้นในบริษัทดังกล่าวร่ำรวยกันมหาศาล และจนบัดนี้ยังเป็นที่สงสัยกันว่า ทักษิณ ถือหุ้นอยู่ใน ปตท.ไม่น้อยโดยใช้รูปแบบ “นอมินี”
นอกจากนี้หากพิจารณาจากความเคลื่อนไหวอื่นๆมาประกอบล้วนชี้ชัดว่า เขากำลังใช้เครือข่ายกลไกอำนาจรัฐที่มีรัฐบาลน้องสาวตัวเอง คือ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นำทางไปสู่การเจรจาทางด้านธุรกิจพลังงาน เพราะหากพิจารณาจากตำแหน่งสำคัญไล่ลงมาตั้งแต่นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน อารักษ์ ชลธาร์นนท์ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลใกล้ชิด ไม่ต่างจากเด็กในบ้านทั้งสิ้น
ที่ผ่านมาหากมองย้อนไปถึงข่าวเก่าๆไม่นานนักทั้งที่กัมพูชา และล่าสุดที่พม่าเพิ่งเปิดให้บริษัทต่างชาติเข้าไปทำธุรกิจด้านพลังงานก็ล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับทักษิณ ชินวัตร ทั้งสิ้น รวมไปถึงการโยงใยกับบริษัทน้ำมันของสหรัฐฯ เช่น เชฟรอน มาตลอด ลักษณะไม่ต่างการที่ ทักษิณ นำร่องเจรจาแล้ว ยิ่งลักษณ์ ตามหลังไปแสตมป์ลงนามอะไรประมาณนั้น และกรณีเดินทางเข้าสหรัฐฯ คราวนี้ก็เช่นเดียวกันหลายคนสงสัยถึงพิรุธที่ทางกรุงวอชิงตันให้วีซ่าเข้าประเทศว่ามาจากการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ที่คุ้มค่าระหว่างกัน อีกทั้งเมื่อสื่อท้องถิ่นของสหรัฐฯ อย่างเช่น Culture Map Houston นำมารายงานว่า มีเรื่องถกด้านธุรกิจพลังงานก็เป็นแค่ตอกย้ำให้เห็นอย่างชัดเจนอีกครั้งเท่านั้นเอง แต่อีกด้านหนึ่งไม่ถือว่าเป็นเรื่องน่าแปลกใจแต่อย่างใด
เพราะเขาเป็นธุรกิจข้ามชาติ ทุกลมหายใจมีแต่เรื่องกำไร ไม่ต่างจากการเมือง ที่เป็นนักธุรกิจการเมืองเป็นการลงทุน มันก็ขึ้นอยู่กับว่าใครทำกำไรได้มากกว่ากัน หากไม่มีประโยชน์หรือทำแล้วขาดทุนก็ต้องเปลี่ยนคนใหม่เข้ามาทำหน้าที่แทน ความหมายมีอยู่เท่านี้!!