xs
xsm
sm
md
lg

ไม่สนธรรมเนียม แค่อยากไปขอบคุณเรื่องวีซ่า-ธุรกิจพี่ชาย!?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ผ่าประเด็นร้อน

แม้ว่าวันศุกร์ที่ 13 จะถือเป็นวันสำคัญที่สามารถชี้ชะตาอนาคตตัวเองและพรรคเพื่อไทย และมีผลโดยตรงต่อพี่ชาย คือ ทักษิณ ชินวัตร แต่สำหรับ นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร กลับเลือกที่จะไปตามคำเชิญของรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ฮิลลารี คลินตัน ที่ต้องการอยากฟัง “วิสัยทัศน์” ของผู้นำไทยในวงประชุมนักธุรกิจของสหรัฐฯ และจัดขึ้นในประเทศกัมพูชา ซึ่งเป็นประเทศที่สามในคราวเดียวกัน

หลายคนมองว่านี่เป็นการทำลายธรรมเนียมทางการทูต ทำให้ฐานะของผู้นำประเทศไทยต้องเสียศักดิ์ศรี ที่ ยิ่งลักษณ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรีเดินทางไปพบกับระดับรัฐมนตรีต่างประเทศในประเทศอื่น

ขณะเดียวกัน มันน่าแปลกใจที่ทำไมนายกรัฐมนตรีถึงต้องเดินทางออกนอกประเทศในช่วงเวลาสำคัญที่ในวันดังกล่าวมีการอ่านคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญในคดีล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือไม่ จากการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 เพื่อนำไปสู่การยกร่างใหม่ทั้งฉบับ

ตามเหตุผล นายกรัฐมนตรีน่าจะอยู่ฟังคำพิพากษา และในฐานะผู้นำประเทศก็น่าที่จะอยู่ดูแลควบคุมสถานการณ์ เพราะสามารถสั่งการได้ทันทีหากเกิดความวุ่นวาย เนื่องจากมีการปลุกระดมมวลชนออกมาข่มขู่คุกคามตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอย่างต่อเนื่อง

คำถามก็คือ จำเป็นแค่ไหนที่คนระดับนายกฯ ต้องไปพบกับรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ในประเทศอื่น และในที่นี้ดันเป็นประเทศกัมพูชามันก็ยิ่งน่าสงสัย

ก่อนหน้านี้เมื่อสองสามวันก่อนเคยมีการตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการเดินทางไปกัมพูชาของ นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ในวันดังกล่าว โดยเฉพาะในเรื่องธุรกิจพลังงานในอ่าวไทย ที่เป็นพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา เนื่องจากในวงประชุมดังกล่าวมีผู้บริหารบริษัทน้ำมันของสหรัฐฯ อย่างเชฟรอน ที่กำลังได้สัมปทานขุดเจาะจากรัฐบาลฮุนเซนหลายแปลง รวมไปถึงในพื้นที่ชายฝั่งของพม่า เมื่อไม่นานมานี้

ขณะเดียวกันยังตั้งข้อสังเกตถึงความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นผิดหูผิดตาระหว่างรัฐบาลสหรัฐฯกับรัฐบาลไทย โดยเชื่อมโยงไปถึง ทักษิณ ชินวัตร ที่มีการเปิดเผยว่าได้รับวีซ่าอนุญาตให้เข้าประเทศได้แล้ว และเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ทางองค์การบริหารการบินและอวกาศของสหรัฐหรือ นาซา ได้ขอใช้สนามบินอู่ตะเภาเพื่อให้เครื่องบินขนอุปกรณ์มาสำรวจทิศทางลมฟ้าอากาศในภูมิภาคนี้

ทุกเหตุการณ์สามารถเชื่อมต่อเชื่อมโยงถึงกันมาเกี่ยวข้องกับทักษิณ และธุรกิจพลังงาน และการเดินทางไปกัมพูชาคราวนี้ของ ยิ่งลักษณ์ จึงถูกมองว่าเป็นลักษณะของการไปแสตมป์ในฐานะนายกรัฐมนตรี

นอกเหนือจากนั้นที่น่าจับตาก็คือการเดินทางไปแบบเร่งด่วน ทั้งในประเทศต้องลุ้นกับคำตัดสินที่ชี้อนาคต แต่เธอกลับเลือกไปเป็นแขกของรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐและตัวแทนนักธุรกิจ โดยในจำนวนนั้นมีบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ร่วมวงด้วย

หากพิจารณาให้ลึกลงไปอีกเวลานี้ราวกับว่า ทักษิณ ซึ่งเคยย้ำมาหลายครั้งว่าเขาทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และรัฐบาลไทย แต่ความหมายก็คือมีบทบาทไม่ต่างจาก “นายหน้า” ข้ามชาติ ที่เน้นเฉพาะโครงการใหญ่ อย่างธุรกิจพลังงาน เดินตามฝันที่ขายหุ้นธุรกิจโทรคมนาคม เพื่อมาร่วมลงทุนในธุรกิจแห่งอนาคตที่กำไรงาม

และนี่คือคำตอบที่มั่นใจว่าไม่ว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจะออกมาเป็นลบแค่ไหนเขาก็ไม่มีทางสั่งให้ป่วนจนเกินพอดี เพราะเป้าหมายสำคัญคือต้องรักษาอำนาจรัฐเอาไว้ แม้เลวร้ายถึงขั้นถูกยุบพรรคเพื่อไทย แม้ว่าจะกระทบหนักหน่วงก็ตาม แต่นั่นก็ไม่สะเทือนไปถึงน้องสาวตัวเอง เพราะไม่ได้เป็นหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรค ยุบได้ก็ตั้งใหม่ได้

ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำ เมื่อพิจารณาตามลำดับความสำคัญเร่งด่วนแบบส่วนตัวแล้วการเดินทางไปกัมพูชาเที่ยวนี้จึงน่าสนใจกว่า อย่างน้อยอาจเป็นการแสดงให้เห็นถึงความเอาใจใส่เป็นการแสดงน้ำใจในฐานะที่เป็นถึงผู้นำประเทศแต่ยอมลดชั้นเพื่อไปพบกับระดับรัฐมนตรีต่างประเทศ แต่ในความหมายก็เพื่อไปขอบคุณที่ให้วีซ่า ขณะเดียวกันก็ไปให้คำมั่นว่าการสำรวจพลังงานในพื้นที่ทับซ้อนอ่าวไทยจะต้องเดินหน้าโดยเร็วที่สุด หรืออย่างน้อยในพื้นที่ที่บริษัทน้ำมันของสหรัฐได้สัมปทานจากรัฐบาล ฮุนเซน ไปแล้ว ทางรัฐบาลไทยก็อย่าไปประท้วงคัดค้านเรื่องเขตแดนให้เสียเวลาก็แล้วกัน

มาถึงวันนี้มันก็น่าสงสัย และเป็นไปได้ไม่น้อย และรับรองว่าคงไม่มีใครอยากฟังวิสัยทัศน์บนแผ่นกระดาษที่นายกฯยิ่งลักษณ์ ไปอ่านให้ฟังแน่นอน!!
กำลังโหลดความคิดเห็น