โสภณ องค์การณ์
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์
นักรัฐศาสตร์ ปรัชญาเมธี ผู้ทรงภูมิปัญญาในศาสตร์การปกครองสมควรเรียกประชุมระดับโลก เพื่อประเมินสถานการณ์ปัจจุบัน และแนวโน้มของหลักการบริหารงานปกครอง การเป็นผู้นำ อย่างเร่งด่วน เพราะตำราต่างๆ ตั้งแต่ยุคอริสโตเติล เพลโต ต้องถูกนำมาสังคายนากันใหม่ เมื่อไทยมีศาสตร์พิสดารแจ้งเกิดแล้ว
“ปูรณาการ” ถือเป็นศาสตร์เหนือศาสตร์ทั้งปวง เป็นความเยี่ยมยุทธ ไม่ใช่ว่าใครจะคิดศึกษา เลียนแบบได้ง่ายๆ บุคคลต้องมีลักษณพิเศษเพื่อ “เอาอยู่”
เป็นศาสตร์แห่งการลอยตัว เหนือระดับเซียนเหยียบเมฆ ขี่นกกะเรียน!
หลัก “ปูรณาการ” ไม่มีการสอนในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด! แม้แต่มหาวิทยาลัยเคนตักกี้สเตท ยังไม่รู้ว่าสถาบันซึ่งถูกมองว่าอยู่ในระดับกระจอกๆ ไม่ติดอันดับโดดเด่นอะไรทั้งนั้น จะสามารถผลิตศิษย์หญิงจากแดนไกลจนได้เป็นผู้นำประเทศมีประชากรกว่า 65 ล้านคน ทั้งยังไม่เคยตกเป็นอาณานิคมของรัฐใด
หลักง่ายๆ ของการบริหารแบบ “ปูรณาการ” แต่ทำได้ยากสำหรับวิญญูชน คือต้องมีลักษณะของความหน่อมแน้ม ด้านหนา ทน อึด กล้ายิ้มสู้โลกซึ่งหัวเราะรอบด้านให้ตัวโง่ทดสอบความยั่งยืน ได้สัมผัสมือกับผู้นำมหาอำนาจของโลก
การบริหารที่ได้ผลสูงสุด คือการไม่บริหาร ใช้ยุทธวิธีลับ ลวง พราง ว.5 ถ้าถูกจับได้ไล่ทัน ก็รับบทหน่อมแน้ม สลับบทเตมีย์ไบ้! ประการหลังนี้ไม่น่าจะได้รับการชี้แนะจากซือแป๋เปรม ต้นตำหรับยุค 30 ปีก่อนโน้น เพราะความคงอยู่ของแม่นางโพยปูโพรกเน่าในเด็ดกว่า! ใช้ลีลาพลิ้ว ผสานกับความทื่อๆ แอ๊บแบ๊ว ตาแป๋ว
เป็นผู้นำรัฐบาล แต่หาทางเลี่ยง ทำตัวหลีกห่างจากเก้าอี้ ไปชี้โบ๊ ชี้เบ๊ ตามห้วยหนองคลองบึง ป่าเขาลำเนาไพร เพื่อความเข้าใจถูกต้องในการแยกแยะหญ้าแพรก กับหญ้าแฝก ในพื้นที่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ เรือดันน้ำ เจ๊าะแจ๊ะแบ๊ะๆ
อยากผลักดันกฎหมายให้เข้าสภา ไม่ยอมประชุมในสภาฯ ถูกยัดเยียดให้รับบทบาทเป็น “ขุน”บนกระดานหมากรุก โดยมีเบี้ยแดง ไพร่ขี้ครอก เป็นหน่วยเชลียร์ ยกก้นให้กระดกแต่พองามยามเดินสวนสนามตรวจผลกับผู้นำชาติอื่นๆ
เป็นสตรีหน้าตาค่อนข้างดีกว่าธรรมดา แต่ทำให้บรรดาชายเฟือยทั้งหลายนั่งรายล้อมโต๊ะห้องประชุมคณะรัฐมนตรีไม่กล้าแสดงออกให้เห็นว่าตัวเองมีสติปัญญาฉลาดกว่าท่านผู้นำ ยอมรับสภาพกล้ำกลืนฝืนทนว่าต้องให้ดูโง่กว่า
ถ้าบังอาจฉลาด กล้าชี้แนะกลางวงประชุม หรือในที่สาธารณะเมื่อไหร่ เตรียมย้ายที่อยู่ใหม่ หรือเปลี่ยนอาชีพได้ เมื่อแม่นางโพยถึงขั้นวีนแตก
ผู้นำต่างชาติงงงวย หลังจากได้สนทนาวิสาสะกับแม่นางโพย เมื่อตัวเองไม่มีโพย เมื่อเจรจากัน แม่นางโพยไม่จ้องตา มุ่งแต่ปรึกษาคู่มือบนหน้าตัก ซ่อนเร้นไม่ให้เห็นความจริงจากแววตา เมื่อเสร็จการสนทนาแล้ว ก็ปล่อยให้งงต่อไป
ไม่รู้ว่าตัวเองโง่ หรือสติปัญญาทาบชั้นแม่นางโพยไม่ได้ เมื่อฟังแม่เจ้าประคุณไม่รู้เรื่อง ทั้งๆ ที่ตัวเองมีประสบการณ์มากกว่า เป็นเจ้าของภาษาปะกิต
ล่าสุด นางฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ได้พานักธุรกิจชั้นนำอเมริกันมาร่วมประชุมกับเครือข่ายธุรกิจอาเซียน เหตุผลหลัก คงต้องการให้นักธุรกิจชาติเดียวกันมาประเมินศักยภาพ ชีดความสามารถ ก้นบึ้งของแม่นางโพย
ประเด็นหลัก แม่เจ้าประคุณเป็นอัจฉริยะ หรือเป็นนักบริหารศาสตร์ใดกันแน่ จึงได้อยู่ยึดยาวมานาน 1 ปี ท่ามกลางภัยรอบด้าน นอกจากทำให้น้ำท่วมเกือบทั่วประเทศ สร้างปรากฎการณ์ให้ประเทศไทยในรอบกว่า 100 ปี
นางคลินตันน่าจะมีปัญหาคาใจว่า คำต้อนรับตามพิธีการทูตแบบใหม่ เช่น overcome นั้น เป็นพิธีการของกลุ่มอาเซียน หรือเฉพาะแม่คุณคนพิเศษเท่านั้น
หลักการบริหารของแม่นางโพยปูโพรกเน่าใน จึงไม่ใช่เผด็จการ ทรราช ประชาธิปไตย หรือแบบไหนทั้งสิ้น เท่าที่ประชาชนได้รับทราบ คือใช้ความสงบนิ่งงันบื้อสยบความเคลื่อนไหว ใช้ความยิ้มแย้มหวานแทนการหุบปากเจื้อยแจ้ว
เมื่อพูดก็มีแต่เรื่องไร้สาระ ขาดภูมิปัญญา ใยต้องเปลืองถ้อยคำ!
การอำพรางท่าทีเป็นอาวุธสำคัญ แม้แต่พี่ชายสุดที่รักยังถูกหลอกว่าน้องสาวทำงานเต็มไม้เต็มมือเพื่อช่วยเหลือให้ตัวเองได้กลับบ้านแบบเท่ๆ
ถ้าอยู่ได้นาน อาจเป็นจุดกำเนิดลัทธิยกย่องบูชาคนโง่ แล้วได้ดี!
บ้านเมืองมีปํญหา แม่เจ้าประคุณทำให้ดูเหมือนว่าไร้ปัญหา ผู้คนห่วงใยกังวลล้วนถูกมองว่าเป็นพวกเอาแต่คิด รู้สึกเอาเอง! ความกล้าหาญในการพบปะกับผู้นำชาติอื่นๆ ไม่ใช่เพราะมีสติปัญญาความรอบรู้เหนือชั้น ทันเกม
แต่เป็นการไม่รู้ถึงความสำคัญของผู้อื่น หรือไม่ห่วงกังวลว่าตัวเองหรือคนชาติเดียวกันต้องอับอายขายหน้า เสื่อมเสียเกียรติภูมิต่างหาก
อะไรๆ ที่ไม่เคยเกิดขึ้น คนไทยไม่เคยพบเคยเห็น ก็มีในยุคนี้แหละ! ผู้พิพากษาตุลาการถูกพวกขี้คุกเดนตะรางข่มขู่คุกคามไม่เว้นแต่ละวัน ตำรวจ ทหารหดหัวเงียบ ไม่ถึงขั้นนอนตัวสั่น คุมโปงเพราะเกรงบารมีของชนเผ่าเสื้อแดงเท่านั้น
“ปูรณาการ” จะเป็นศาสตร์แห่งการครองโลกยุคใหม่เช่นนั้นหรือ! ไม่น่าเป็นไปได้ มองไปทั่วโลก จะหาชนชาติใดยอมตกอยู่ไต้อำนาจการบริหารของผู้นำแบบนี้ได้นานกว่า 1 ปี คงไม่มีอีกแล้ว!
เอ๊ะ! หรือว่านางคลินตันรู้สึกว่าได้ค้นพบศาสดาแห่งการบริหาร จึงต้องวนเวียนมาภูมิภาคนี้ ศึกษากลยุทธเพื่อชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีอีก 4 ปีข้างหน้า
หรือนี่เป็นโอกาสพานักธุรกิจชั้นนำมาศึกษาเทคนิคใหม่เพื่อกอบกู้สหรัฐให้รอดพ้นจากหายนะจากวิกฤติเศรษฐกิจ! ไม่ต้องฉลาดก็ชนะได้! หรือใช้ความโง่สยบความฉลาด!!