ผ่าประเด็นร้อน
หลายคนบอกว่ารายการมหกรรมกีฬาของมวลมนุษยชาติโอลิมปิก “ลอนดอนเกมส์” ในสองสัปดาห์ที่ผ่านมาได้ดึงดูดกระแสความสนใจของคนทั้งโลก รวมทั้งคนไทย โดยเฉพาะในช่วงท้ายของการแข่งขันที่มีนักกีฬาของไทย เช่น เทควันโด ที่ลุ้นชิงเหรียญ และมวยสากลสมัครเล่นที่คนไทยทั้งมวลรวมพลังส่งแรงเชียร์ แม้ว่าจะไม่ชนะบนสังเวียน แต่ก็ถือว่าชนะใจคนไทย “ชนะใจแม่” จึงไม่น่าแปลกใจที่เขาจะได้รับรางวัล ได้รับความรักจากคนไทยทุกคนเป็นการตอบแทน
ขณะเดียวกันก็ต้องบอกว่า ในลอนดอนเกมส์คราวนี้ รัฐบาลชุดนี้แทบจะไม่ให้ความสำคัญและสนับสนุนอย่างเป็นเรื่องเป็นราว แต่เชื่อเถอะว่า เมื่อนักกีฬาฮีโร่พวกนี้กลับมา บรรดานักการเมืองในรัฐบาลก็จะโหนกระแส ชิงกันเสนอหน้า ชิงกันถ่ายรูปเก็บเกี่ยวหาประโยชน์ทางการเมืองกันหน้าสลอน รอดูก็แล้วกัน
นอกเหนือจากนี้ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ยังมีงานบุญ งานมหามงคล เป็นวันหยุดยาว เบี่ยงเบนความสนใจไปได้พักใหญ่ แต่นับจากนี้ไป เมื่อวันเวลาแห่งความสุข ความตื่นเต้นดังกล่าวได้ผ่านพ้นไป ทุกสายตาของคนไทยก็จะกลับมาเจอกับสภาพความจริง เจอกับความเครียด ความเดือดร้อนจากความล้มเหลว ห่วยแตก จากผลงานของรัฐบาลที่นำโดย ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กันอีกรอบ และคราวนี้รับรองว่า หนักกว่าเดิม
อีกไม่กี่วันก็จะครบรอบ 1 ปี ที่นายกรัฐมนตรี และรัฐบาลของเธอบริหารบ้านเมือง รัฐบาลกำลังเค้นผลงานออกมาแถลงต่อสภา ว่ามีอะไรที่น่าภาคภูมิใจบ้าง และแน่นอนว่าต้องนำเสนอแต่ในเรื่องดี เป็นผลงานของนายกรัฐมนตรี แบบมีความรู้มีความสามารถ ประเภทใช้สื่อโปรโมทกันเต็มที่ แต่ความหมายจะคนละเรื่องกับความเป็นจริงหรือไม่ ชาวบ้านทั่วไปย่อมรับรู้กันดี
หากไม่จำเป็นต้องอาศัยผลสำรวจจากสำนักต่างๆ ที่บางครั้งออกมาดูทะแม่ง แต่รับรองว่าหากพิจารณาจากผลกระทบที่ได้รับในแต่ละวัน เชื่อว่า น้อยคนนักที่จะแฮปปี้กับผลงานในการสร้างความสุขให้กับชาวบ้าน เพราะโดนผลกระทบเข้ากับตัวเองไปจังๆ ในเรื่องค่าครองชีพ ข้าวของแพง แต่เงินในกระเป๋ากลับแฟบลง สินค้าที่ต้องการให้ราคาแพงกลับมีราคาตกต่ำขายไม่ได้ราคา
อย่างสินค้าเกษตร ตัวหลัก ทั้งข้าว ที่คุยโม้ว่าได้ราคาจำนำเกวียนละ 15,000 บาท เอาเข้าจริงกลับขายไม่ได้ตามที่พูดเอาไว้ มีการหักค่าความชื้น อย่างมากก็ได้แค่ 8-9 พันเท่านั้น ไม่อยากจำนำ ไม่อยากขาย ก็ต้องจำใจ และผลจากนโยบายดังกล่าว ทำให้ต้นทุนข้าวของไทยสูงลิ่วจนแข่งขันกับประเทศคู่แข่งไม่ได้
ล่าสุดทำให้ไทยต้องสูญเสียตลาดส่งออกถดถอยลงอย่างฮวบฮาบ 6 เดือนแรกลดน้อยลงเกือบร้อยละ 50 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และคาดการณ์ว่า แนวโน้มทั้งปียิ่งหนักหนาสาหัส
ราคายางพารา ราคาสัปปะรด มันสำปะหลัง หอมแดง กระเทียม สินค้าเกษตรทุกตัว ราคาตกต่ำหมด จนต้องปิดถนนประท้วงกันวุ่นวาย แม้จะพยายามอ้างว่า เกิดวิฤติจากภายนอกควบคุมไม่ได้ จะอ้างได้ แต่ชาวบ้านไม่ฟังหรอก เพราะเขาสนใจแต่สิ่งที่ปรากฏและสัมผัสได้อยู่ตรงหน้าเท่านั้น
ชาวบ้านไม่สนหรอกว่า ยางราคาตกเพราะเศรษฐกิจยุโรปมีปัญหา จีนรับซื้อน้อย พวกเขาสนใจแต่ว่ารัฐบาลของ ยิ่งลักษณ์ มีกึ๋นในการบริหาร และการยกระดับราคาได้อย่างไร เพราะเรามีรัฐบาลที่บริหารประเทศ ที่สำคัญเป็นรัฐบาลที่ชอบอ้างว่า เป็น “กูรู” เชี่ยวชาญทางด้านเศรษฐกิจ ยิ่ง ทักษิณ ชินวัตร ยิ่งเป็นเทวดา “ทักษิณคิดเพื่อไทยทำ” แต่เมื่อผลออกมาได้แค่นี้ มันน่าผิดหวังจริงๆ
นั่นว่ากันเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจ ปัญหาปากท้อง แต่เมื่อมาถึงเรื่องการแก้ปัญหาความสงบเรียบร้อยในจังหวัดชายแดนภาคใต้บ้าง ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา ถือว่ารัฐบาลชุดนี้ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ความรุนแรงได้ขยายลุกลามเข้ามาในพื้นที่เศรษฐกิจจนแทบจะควบคุมไม่ได้แล้ว กลายเป็นว่าคนร้ายลงมือได้อย่างไร้ข้อจำกัด ความเสียหาย ความเชื่อมั่นสูญหาย แทบจะหมดสิ้นแล้ว
นอกจากนี้ สิ่งที่ต้องพิจารณากันก็คือปัญหาราคาพลังงาน ที่กำลังปรับตัวสูงขึ้น แม้ว่าจะพยายามตรึงราคาน้ำมันดีเซล ไม่ให้เกินลิตรละ 30 บาทก็ตาม แต่นั่นหมายความว่า ต้องนำเงินไปอุดหนุนจนล่าสุดกองทุนน้ำมันได้ติดลบเพิ่มขึ้น อีกทั้งรัฐบาลกำลังจะตัดสินใจว่า จะลอยตัวราคาก๊าซหุงตุ้มหรือไม่ ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 16 สิงหาคมนี้ และกระทรวงพลังงานได้เสนอทางเลือกให้รัฐบาลตัดสินใจแล้วว่า จะตรึงต่อ หรือไฟเขียว
มาถึงตอนนี้หากพิจารณากันตามความเป็นจริง ก็ต้องบอกว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ กำลังเจอกับสารพัดปัญหารุมเร้าเข้ามา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากการส่งออกต่ำกว่าเป้าหมาย รวมทั้งวิกฤติยูโรโซน ที่ว่ากันว่าจะบุกเข้ามาถล่มตั้งแต่ปลายปีนี้เป็นต้นไป ทุกอย่างก็จะยิ่งหนักหนาสาหัส ขณะเดียวกัน เมื่อเห็นศักยภาพของรัฐมนตรีไล่เรียงจากนายกรัฐมนตรี ลงมาจนถึงรัฐมนตรีแต่ละคนแล้ว มันหดหู่ใจ ไร้ความหวังอย่างสิ้นเชิง
ดังนั้นเชื่อว่าเมื่อผ่านจากเทศกาลแห่งความตื่นเต้น และวันแห่งความสุขไปแล้ว ตั้งแต่สัปดาห์นี้เป็นต้นไปการเมืองก็จะกลับมาป่วน ทุกสายตาจะกลับมาเพ่งมองที่รัฐบาล ถึงตอนนั้นความรู้สึกที่เกิดจากความเดือดร้อนก็จะยิ่งรุมเร้าเข้ามา และนับจากนี้เป็นต้นไปเป็นช่วงที่รัฐบาลกำลังเผชิญกับศึกหนักมากขึ้นทุกที !!