xs
xsm
sm
md
lg

รายงานพิเศษ : จับตา “ศาลฎีกา” จะพิพากษายืนจำคุก 4 ปี “3 อดีต กกต.” หรือไม่?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ อดีตประธาน กกต.
อมรรัตน์ ล้อถิรธร....รายงาน

วันนี้เมื่อ 6 ปีที่แล้ว (25 ก.ค. 2549) เป็นวันที่ 3 อดีต กกต.ชุด พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ ถูกศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 4 ปี โดยไม่รอลงอาญา แถมตัดสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 10 ปี คดีที่จัดการเลือกตั้งเอื้อประโยชน์ให้พรรคไทยรักไทย จากนั้น 2 ปีให้หลัง ศาลอุทธรณ์ก็พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ...ถึงวันนี้ 4 ปีผ่านไป ยังไม่มีใครรู้ว่าศาลฎีกาจะพิพากษาคดีนี้เมื่อไหร่ แต่ลองมาย้อนดูพฤติการณ์แห่งคดีกัน แล้วค่อยประเมินว่าศาลฎีกาน่าจะพิพากษายืนหรือไม่?

คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายงานพิเศษ

ย้อนกลับไป เมื่อวันที่ 25 ก.ค. 2549 ศาลอาญาได้พิพากษาคดีประวัติศาสตร์ที่นายถาวร เสนเนียม รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ฟ้อง 3 กกต. พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ, นายปริญญา นาคฉัตรีย์ และนายวีระชัย แนวบุญเนียร ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.-ส.ว. มาตรา 24 และ 42 จากกรณีที่ กกต.ได้จัดให้มีการเลือกตั้งใหม่รอบ 2 ใน 38 เขต 15 จังหวัดเมื่อวันที่ 23 เม.ย. 2549 โดยเปิดรับสมัครใหม่ ทั้งที่ไม่มีอำนาจ และอนุญาตให้ผู้สมัครรายเดิมเวียนเทียนลงสมัครข้ามเขตได้ เพื่อช่วยให้ผู้สมัครพรรคไทยรักไทยมีคู่แข่ง จะได้เลี่ยงเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดไว้ว่าต้องได้คะแนน 20% ขึ้นไป ทั้งนี้ ศาลพิพากษาว่า กกต.ทั้งสามมีความผิดจริงตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.-ส.ว. ให้จำคุก 3 กกต.คนละ 4 ปี โดยไม่รอลงอาญา และให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 10 ปี (ส่วน พล.อ.จารุภัทร เรืองสุวรรณ กกต.อีกคนโชคดี มีจิตสำนึกลาออกไปก่อน นายถาวรจึงถอนฟ้อง)

เป็นที่น่าสังเกตว่า ก่อน 3 กกต.จะถูกศาลพิพากษาดังกล่าว หากมองผิวเผินก็อาจเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจ 3 กกต.อยู่ เพราะด้วยเกียรติภูมิและประสบการณ์ที่สั่งสมมานานจากการเป็นข้าราชการระดับสูง มีชื่อเสียงในวงสังคม มีคนนับหน้าถือตา กลับต้องมาพังไม่เป็นท่าเพราะการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แต่เมื่อมองถึงต้นสายปลายเหตุที่นำมาสู่การอวสานของ กกต.ชุด พล.ต.อ.วาสนา ก็จะรู้ซึ้งว่า ปัญหามิได้อยู่ที่ตัวตำแหน่ง หากอยู่ที่จิตสำนึกและการปฏิบัติหน้าที่ว่าเป็นไปโดยสุจริต-เที่ยงธรรม ไม่เข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดหรือพรรคการเมืองใดหรือไม่? ขณะเดียวกัน ฝ่ายการเมืองหรือผู้มีอำนาจในรัฐบาลก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้ กกต.ต้องพบจุดจบเช่นกัน!

คงยังจำกันได้ว่า สมัยที่นายจรัล บูรณะพันธุ์ศรี 1 ใน 5 กกต.ชุดนี้ยังมีชีวิตอยู่ การทำงานของ กกต.ชุดนี้ยังดำเนินไปได้พอประมาณ เพราะมีนายจรัลซึ่งมาจากสายตุลาการคอยคานอยู่ แต่เมื่อนายจรัลเสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็งเมื่อเดือน พ.ย. 2548 การทำงานที่ผิดพลาดของ กกต.ก็เริ่มปรากฏต่อสายตาสาธารณชน กระแสสังคมขณะนั้นเรียกร้องให้มีการสรรหา กกต.เพิ่มอีก 1 เพื่อทดแทนนายจรัล เพื่อประสิทธิภาพในการทำงานของ กกต. แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีการสรรหา

เมื่อ กกต.เหลือแค่ 4 จึงต้องทำงานหนักขึ้น โดยเฉพาะการจัดการเลือกตั้ง ส.ส.และ ส.ว.ในเดือนเดียวกัน คือ เลือก ส.ส.2 เม.ย. และเลือก ส.ว.19 เม.ย. แต่ภาระที่หนักนั้นส่วนหนึ่งก็มาจาก กกต.เอง ที่ตอบรัฐบาลทักษิณไปว่า ระยะเวลาที่ต้องใช้ในการเตรียมจัดการเลือกตั้งหลังยุบสภา คือ 30 วันขึ้นไป จึงเข้าทางรัฐบาลที่ต้องการให้เลือกตั้งเร็วอยู่แล้ว แต่ พล.ต.อ.วาสนาก็ปฏิเสธเสียงแข็งในเวลาต่อมาว่าไม่ได้สมรู้ร่วมคิดกับรัฐบาลในการจัดเลือกตั้งกระชั้นชิด ไม่เท่านั้น พล.ต.อ.วาสนา ยังพูดในลักษณะที่ก้าวล่วงพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 25 เม.ย. 2549 ที่ตรัสผ่านตุลาการศาลปกครองสูงสุด และผู้พิพากษาประจำศาลยุติธรรม ว่าการเลือกตั้งครั้งนั้นไม่เป็นประชาธิปไตย เพราะมีพรรคเดียว คนเดียวลงสมัคร โดย พล.ต.อ.วาสนาแสดงความข้องใจว่า การเลือกตั้งที่พรรคเดียวลงสมัครไม่ประชาธิปไตยตรงไหน ถ้าไม่ประชาธิปไตยแล้วไปเขียนกฎหมายไว้ทำไมในมาตรา 74 ให้สมัครคนเดียวได้ ถ้าได้ไม่ถึง 20% ต้องเลือกตั้งใหม่

“บอกว่าการเลือกตั้งลงคนเดียวไม่ประชาธิปไตย ใช่มั้ยครับ แล้วไปเขียนกฎหมายไว้ทำไมล่ะครับในมาตรา 74 ให้สมัครคนเดียวได้ เขียนสมัครคนเดียวก็ได้ แต่ถ้าไม่ได้ 20% ต้องเลือกตั้งใหม่ เขียนไว้ทำไม? ผมเขียนหรือใครเขียน? กฎหมายมาตรา 74 ใครเขียน ผมเขียนเรอะ? แล้วบอกเลือกลงคนเดียวไม่ประชาธิปไตย นึกอยากจะพูดอะไรก็พูด น่าเสียดาย น่าเสียใจนะครับท่าน บางคนมีความรู้ทางกฎหมายอย่างดี บางคนเรียนสูงกว่าผมอีกครับ จบ ดร. เวลาเอากฎหมายมาพูด ก็เอาบางตอนมาพูด เอาบางประโยคมาพูด เอาบางวรรคมาพูด ไม่พูดให้หมดหรอกครับ แล้วก็แปลความกฎหมายไร้จิตวิญญาณของนักกฎหมาย”

ไม่ว่าคำพูดของ พล.ต.อ.วาสนาในวันนั้นจะตั้งใจปกป้องพรรคไทยรักไทย จนลืมไปว่าอาจเข้าข่ายหมิ่นพระมหากษัตริย์หรือไม่ แต่ผลแห่งการพูดไม่ได้คิดในวันนั้นก็ได้นำไปสู่การถูกประชาชนที่จงรักภักดีแจ้งความหลายท้องที่หลายจังหวัด ว่า พล.ต.อ.วาสนาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เช่น นายนิติ แก้วปลายคลอง ชาว จ.นครศรีธรรมราช แจ้งความไว้ที่ สภ.อ.ปากพนัง, นายไทกร พลสุวรรณ ผู้ประสานงานเครือข่ายอีสานกู้ชาติ แจ้งความไว้ที่ สน.ปทุมวัน และกลุ่มเรารักสงขลา แจ้งความไว้ที่ สภ.อ.หาดใหญ่ เป็นต้น

ทั้งนี้ ในการจัดการเลือกตั้ง 2 เม.ย. กกต.ชุด พล.ต.อ.วาสนา ได้สร้างผลงานหลายอย่างที่ส่อว่า ทำเพื่อเอื้อประโยชน์ให้พรรคไทยรักไทย ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนทิศคูหาลงคะแนน ทำให้บุคคลที่ไปรอใช้สิทธิ และบรรดาหัวคะแนนพรรคการเมือง โดยเฉพาะพรรคไทยรักไทย และกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งที่มีตัวแทนจากพรรคไทยรักไทยรวมอยู่ด้วย สามารถสังเกตเห็นได้ว่าผู้ใช้สิทธิลงคะแนนช่องใด ระหว่างช่องเบอร์ 2 ของพรรคไทยรักไทยข้างบน หรือช่องไม่ประสงค์ลงคะแนน ที่ถูกย้ายจากด้านบนลงมาอยู่ด้านล่างสุด(จนแทบสังเกตไม่เห็น) ซึ่ง พล.ต.อ.วาสนาก็เคยด่ากราดสื่อมาแล้วว่า เพราะสื่อจิตวิปริต ไปซูมภาพถึงได้เห็นว่าใครกาช่องไหน แถมยืนยันว่า การเปลี่ยนทิศคูหาก็เพื่อป้องกันผู้ใช้สิทธิทุจริตนำโทรศัพท์เข้าไปถ่ายรูปบัตรลงคะแนน และเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ใช้สิทธินำบัตรปลอมเข้าไปใช้สิทธิ ส่วนการติดรูปและหมายเลขผู้สมัครไว้ในคูหา ให้ผู้ใช้สิทธิดูประกอบการลงคะแนน ทั้งที่หน่วยเลือกตั้ง 280 กว่าหน่วยมีผู้สมัครพรรคไทยรักไทยลงสมัครแค่พรรคเดียว กกต.ก็ยังอ้างว่า ติดรูปให้ดู เพราะกลัวผู้ใช้สิทธิจำไม่ได้!?!

ที่ร้ายกว่านั้นก็คือ หลังเลือกตั้ง 2 เม.ย. เมื่อได้ ส.ส.ไม่ครบ 500 เพราะยังมีถึง 38 เขตใน 15 จังหวัด ที่ผู้สมัครพรรคไทยรักไทยได้คะแนนไม่ถึง 20% จึงไม่ได้เป็น ส.ส. แทนที่ กกต.ชุดนี้จะจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ โดยลงคะแนนใหม่เท่านั้น เพื่อยืนยันว่าประชาชนไม่เลือกผู้สมัครพรรคไทยรักไทยคนนั้นจริงๆ ใช่หรือไม่ กกต.กลับเปิดรับผู้สมัครใหม่ เพื่อให้มีผู้สมัครพรรคเล็กมาลงแข่งกับผู้สมัครพรรคไทยรักไทย จะได้เลี่ยงเกณฑ์ 20% ไม่แค่นั้น กกต.ยังให้สิทธิพรรคไทยรักไทยเปลี่ยนตัวผู้สมัครมาแทนคนเก่าที่ได้คะแนนไม่ถึง 20% แถมยังให้ผู้สมัครคนใหม่ของพรรคไทยรักไทยใช้เบอร์เดิมเบอร์ 2 ต่อไปได้ ซึ่งถือเป็นการเอาเปรียบผู้สมัครรายใหม่ ซ้ำร้าย กกต.ยังมีหนังสือเวียนให้ กต.เขต 38 เขต รับผู้สมัครพรรคเล็กที่เคยสมัครในเขตอื่น ให้ย้ายเขต-ย้ายจังหวัดมาลงสมัครในเขตใหม่ได้อีก หรือการเวียนเทียนลงสมัครนั่นเอง ความผิดเรื่องปล่อยให้ผู้สมัครเวียนเทียนลงสมัครนี้ เรียกได้ว่าไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมายแต่อย่างใด เพราะก่อนหน้านี้ ศาลฎีกาก็เคยพิพากษาแล้วว่า ผู้สมัครไม่สามารถสมัครข้ามเขตได้ กรณีที่ กกต.ยังไม่ได้ประกาศรับรองผลในเขตเดิม ส่งผลให้ กกต.หน้าแตกไปตามๆ กัน

พฤติกรรมที่ตอกย้ำว่า กกต.จัดการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นกลาง แต่เอนเอียงเข้าข้างพรรคไทยรักไทย ไม่เพียงปรากฏชัดจากการเปิดรับสมัครใหม่รอบสอง และอนุญาตให้ผู้สมัครพรรคเล็กเวียนเทียนลงสมัครเพื่อเป็นคู่แข่งกับพรรคไทยรักไทยเท่านั้น แต่การเปิดรับผู้สมัครใหม่ ยังเปิดหลายรอบและกระชั้นชิดกับวันเลือกตั้งมาก ซึ่งนอกจากส่งผลให้ กต.เขตไม่มีเวลาตรวจสอบคุณสมบัติของผู้สมัครแล้ว ยังทำให้ผู้สมัครที่อาจถูกตัดสิทธิ ไม่มีเวลาพอที่จะอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาได้ทันด้วย

ทั้งหมดที่กล่าวมา จึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใดที่ศาลชั้นต้นจะพิพากษาจำคุก 3 กกต.ดังกล่าวคนละ 4 ปี โดยไม่รอลงอาญา เมื่อวันที่ 25 ก.ค. 2549 แม้จำเลยทั้งสามจะอุทธรณ์ และขอให้มีการลดหย่อนโทษโดยอ้างว่าจำเลยได้ประกอบคุณงามความดีมา ได้รับราชการด้วยความวิริยะอุตสาหะ อีกทั้งได้ดำรงตำแหน่งที่สำคัญมาก่อน แต่ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การที่จำเลยมีประสบการณ์เคยดำรงตำแหน่งสำคัญมาก่อน จนมีคุณสมบัติตามวัตถุประสงค์ของรัฐธรรมนูญ ได้เป็น กกต. แต่กลับไม่ได้ใช้ประสบการณ์ในการสร้างความสงสุขและช่วยระงับวิกฤตที่เกิดขึ้นในชาติบ้านเมือง และดำเนินการตามอำนาจหน้าที่สร้างวิกฤตให้ใหญ่มากยิ่งขึ้น พฤติการณ์ของจำเลยทั้งสามจึงไม่มีเหตุให้ลดโทษตามที่ขอ ศาลอุทธรณ์จึงพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 24 เม.ย. 2551

ทั้งนี้ พล.ต.อ.วาสนา-นายปริญญา และนายวีระชัย ได้ยื่นหลักทรัพย์ขอประกันตัวเพื่อสู้ต่อในชั้นฎีกา ซึ่งศาลอุทธรณ์อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราวโดยตีราคาประกันคนละ 4 แสนบาท จากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็ 4 ปีกว่าแล้ว หากนับตั้งแต่วันที่ศาลชั้นต้นพิพากษาก็ 6 ปีพอดี ยังไม่มีใครรู้ว่าศาลฎีกาจะมีคำพิพากษาคดีนี้เมื่อใด และจะพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์หรือไม่?
นายปริญญา นาคฉัตรีย์ อดีต กกต.
นายวีระชัย แนวบุญเนียร อดีต กกต.
พล.อ.จารุภัทร เรืองสุวรรณ อดีต กกต.โชคดี มีจิตสำนึกลาออกก่อน จึงไม่ถูกฟ้อง
คูหาเลือกตั้งที่หันหลังออก พร้อมติดรูปผู้สมัครไว้ในคูหาในการเลือกตั้งเมื่อ 2 เม.ย.2549
กำลังโหลดความคิดเห็น