ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2555 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จออก ณ ห้องประชุม สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ชั้น 14 อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล ประธานศาลปกครองสูงสุด นำตุลาการศาลปกครองสูงสุด เฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่
โอกาสนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระราชดำรัสแก่คณะตุลาการศาลปกครองสูงสุด ความว่า
“ ข้าพเจ้ายินดีที่ได้ฟังผู้พิพากษาศาลปกครองได้ปฏิญาณตน ว่า จะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และทำประโยชน์แก่ประเทศชาติ ซึ่งถ้าท่านทำทุกอย่างตามที่ได้ปฏิญาณตนไว้ ก็เป็นการดี เพราะว่าจะทำให้ประชาชนมีความมั่นใจ ว่ามีคนดูแลในเรื่องของความเรียบร้อย ในการปฏิบัติงานสูงสุดของผู้พิพากษา ก็ขอให้ท่านไม่ลืมในส่วนใดก็ตามของการปฏิบัติ ของการปฏิญาณ ที่จะให้งานการลุล่วงไปด้วยดี ”
“ขอบใจที่ท่านตั้งใจอย่างแน่วแน่ และขอให้ท่านสามารถปฏิบัติตลอดทั้งฝั่ง ให้ประชาชนได้มีที่พึ่ง ที่อาศัย และแน่ใจว่ามีผู้ใหญ่ดูแลผลประโยชน์ของประชาชน ก็ขอให้ท่านปฏิบัติตามคำปฏิญาณโดยเคร่งครัด ตลอดเวลาที่ท่านปฏิบัติหน้าที่ และตลอดชีวิตของท่าน ก็ขอให้ท่านสำเร็จในการปฏิบัติงาน ซึ่งจะเป็นการทำให้ท่านมีเกียรติ ท่านมีความพอใจในตัวเองได้ตลอดชีวิต ก็ขอให้ได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเคร่งครัดตลอดไป ”
ต้องยอมรับว่า ในปัจจุบัน “ความเลว” ครอบงำสังคมไทย คนเลวกลายเป็นใหญ่ในแผ่นดิน
โจรเผาเมือง เผาประเทศ หลอกคนไปตาย ได้ครองอำนาจ
นั่นทำให้ “ระบบยุติธรรม” ถูกพวกโจรเผาเมืองด่าว่า วิจารณ์มาตลอด เพราะกลัวติดคุก แต่ถ้าพวกโจรแดง โจรดำ ไม่ติดคุก
พวกนี้ก็จะบอกว่า “มีความยุติธรรม”
ทำเลวแล้ว ทำให้พวกโจรได้เป็นรัฐมนตรี เป็น ส.ส.
จึงไม่แปลกที่กระบวนการยุติธรรม กลายเป็นที่พึ่งของคนไทยที่เก็บความรู้สึกจงเกลียดจงชังโจรเผาเมืองมานาน
การออกกฎหมายปรองดองแห่งชาติ จึงกลายเป็น “ฟางเส้นสุดท้าย” ที่หลายคนคิดว่า ไม่สามารถให้คนชั่วครองอำนาจต่อไปได้
คนทั้งประเทศรู้ว่า พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ รับงาน ทักษิณ ชินวัตร มาออกกฎหมาย เพื่อทำลายคำพิพากษาของศาล
ชนิดที่ไม่มีนักการเมืองคนใดในประเทศไทยเคยกล้าทำมาก่อน
ความยุติธรรมที่ศาลตัดสิน กำลังถูกทำลายด้วยกฎหมายที่ พล.อ.สนธิ กำลังเสนอ
เสมือนหนึ่ง พล.อ.สินธิ และพรรคเพื่อไทย กำลังเขียนคำพิพากษาขึ้นมาเอง
ที่สำคัญยัง ฉีกคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ
ร่าง พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติ มี 8 มาตรา ตามเลขมงคลของตำราจีน และเสนอพิจารณาในวันที่ 31 พ.ค. 55 ซึ่งเป็นวันราชาฤกษ์ เป็นฤกษ์ของผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน
ทั้ง 8 มาตรา มีสาระสำคัญอยู่ที่ มาตรา 3-7 โดยเฉพาะ มาตรา 4 และ 5
มาตรา 5 ระบุไว้ ( เขียนคำพิพากษาให้ทักษิณพ้นผิด ) ว่า “บุคคลที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินการหรือการปฏิบัติทั้งหลายขององค์กร หรือคณะบุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งโดยประกาศ หรือ คำสั่งของ คปค.หรือคำสั่งของหัวหน้าคปค. ซึ่งได้ยึดอำนาจการปกครองแผ่นดินเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 หรือการดำเนินการ หรือการปฏิบัติทั้งหลายขององค์กร หรือหน่วยงานอื่นใดอันเป็นผลสืบเนื่องจากการดำเนินการขององค์กรหรือ คณะบุคคลดังกล่าว มิได้เป็นผู้ถูกกล่าวหา หรือเป็นผู้กระทำความผิด โดยให้นำความใน มาตรา 4 มาใช้บังคับโดยอนุโลม และให้องค์กร หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติต่อบุคคลที่ได้รับผลกระทบนั้นให้เป็นไปตามหลักนิติธรรมต่อไป ”
นั่นหมายความว่า การตรวจสอบทรัพย์สินของ คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) จะต้องถูกยกเลิกไปโดยปริยาย
เพราะใน มาตรา 4 ระบุไว้ว่า “เมื่อ พ.ร.บ.นี้มีผลใช้บังคับแล้ว ถ้าผู้กระทำการตามมาตรา 3 อยู่ในระหว่างการสอบสวน ให้ผู้มีอำนาจสอบสวนระงับการสอบสวนผู้นั้น ถ้าอยู่ในระหว่างการฟ้องร้อง ให้พนักงานอัยการหรือองค์กรที่เกี่ยวข้องระงับการฟ้องหรือให้ถอนฟ้องถ้าผู้นั้นอยู่ในระหว่างการพิจารณาคดี ให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดี ถ้าได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ให้ถือว่าผู้นั้นไม่เคยต้องคำพิพากษา ว่าได้กระทำความผิด ถ้าผู้นั้นรับโทษอยู่ ให้การลงโทษนั้นสิ้นสุดลง และปล่อยตัวผู้นั้น”
ดังนั้นทุกคดีในช่วงเวลาดังกล่าว ถ้าอยู่ระหว่างฟ้อง ให้หยุดการฟ้องร้อง ถ้าศาลกำลังพิจารณาคดี ( ศาลกำลังพิจารณาคดีของทักษิณ อีกหลายคดี ) ให้หยุดการพิจารณา ถ้าตัดสินไปแล้ว ก็ให้ยกเลิกคำพิพากษาของศาล ถ้ากำลังรับโทษอยู่ ก็ต้องปล่อยตัวทันที
ทั้งสองมาตรานี้ เขียนขึ้นเพื่อให้ ทักษิณ ไม่ต้องติดคุกตามคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ที่สำคัญยังต้องคืนเงิน 4.6 หมื่นล้านบาทให้แก่ทักษิณด้วย
ความเลวของ กฎหมายฉบับนี้ ไม่มีที่ติจริงๆ
ส่วนความขัดแย้งทางการเมืองอื่นๆ ได้รับอานิสงส์ เล็กๆน้อยๆ ตามมาตรา 3
ทั้งนี้ มาตรา 3 ระบุว่า ให้บรรดาการกระทำใดๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมือง หรือการแสดงออกทางการเมือง ตั้งแต่วันที่ 15 กันยายน 2548 ถึงวันที่ 10 พฤษภาคม 2554 หากมีการกระทำใดที่เป็นความผิดตามกฎหมาย ให้การกระทำนั้นไม่เป็นความผิดต่อไป และให้ผู้กระทำการนั้น พ้นจากการเป็นผู้กระทำความผิด และความรับผิดโดยสิ้นเชิง
(1) การกระทำทั้งหลายของบุคคลที่เกิดจากการชุมนุมทางการเมือง หรือการแสดงออกทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายที่ห้ามการชุมนุม การกล่าววาจาหรือโฆษณาด้วยวิธีใด เพื่อเรียกร้อง หรือให้มีการต่อต้านรัฐ การต่อสู้ขัดขืนการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือการประท้วงด้วยวิธีใดๆ อันเป็นการกระทบต่อร่างกาย หรือทรัพย์สินของบุคคลอื่น ซึ่งเป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง หรือการแสดงออกทางการเมือง
(2) การกระทำทั้งหลายของเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือบุคคลใดๆ อันเกี่ยวเนื่องกับการป้องกันระงับ หรือปราบปรามในเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมือง หรือการกระทำใดที่เกี่ยวเนื่อง
นั่นทำให้ “กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” นัดชุมนุมอีกครั้ง
จะลบคำสบประมาทของ “ไอ้เต้น-ไอ้ตู่” หรือ นสพ.ข่าวสด-มติชน ได้หรือ...อีกไม่นาน น่าจะพิสูจน์ว่า
ความเลวความชั่วจะชนะความยุติธรรมในระบบประชาธิปไตย
เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม ที่ผ่านมา กลุ่มพันธมิตรฯ นัดชุนนุม โดยมีประชาชนเข้าร่วมกว่าหลายหมื่นคน โดย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ได้อ่านประกาศแถลงการณ์พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ฉบับที่ 1/2555 เรื่องกำหนดหลักการชุมนุม ตามที่พันธมิตรฯ จัดการชุมนุมคัดค้านการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติฯ ในวันที่ 30 พฤษภาคม
1. ขอให้ผู้ชุมนุมทุกท่านยึดมั่นในสิทธิการชุมนุมตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 63 อย่างเคร่งครัด โดยการชุมนุมครั้งนี้ ขอให้ผู้ชุมนุมทุกท่านเข้าร่วมการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ
2. ขอให้ผู้ชุมนุมยึดแนวทางการชุมนุมบนเวทีหลักของพันธมิตรฯ แห่งนี้แห่งเดียวเท่านั้น และระมัดระวังมิให้หลงเชื่อผู้ไม่ประสงค์ดีที่จะมาชักชวน หรือยั่วยุให้ผู้ชุมนุมไปก่อเหตุ สร้างสถานการณ์ความวุ่นวายที่นอกเหนือจากแนวทางหลักของเวทีการชุมนุม
3. พันธมิตรฯ จะเคลื่อนมวลชนจากลานพระบรมรูปทรงม้าไปที่หน้ารัฐสภาสุดถนนอู่ทองในเท่านั้น สำหรับพื้นที่อื่นนอกเหนือจากนี้ ไม่ใช่พื้นที่และความรับผิดชอบในการชุมนุมของพันธมิตรฯ และหากมีการเปลี่ยนแปลงอื่นใด จะมีการประกาศบนเวทีของพันธมิตรฯ แห่งนี้แห่งเดียวเท่านนั้น
สนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประธิปไตย ได้ขึ้นเวทีกล่าวปราศรัยที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ว่า สถานที่แห่งนี้หากย้อนกลับไปเมื่อ 6 ปีกว่า เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2549 ถือเป็นจุดเริ่มต้นขับไล่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จากวันนั้นถึงวันนี้ ไม่คิดว่าคนที่ทำการรัฐประหาร พ.ต.ท.ทักษิณ จะมาออกกฎหมายปรองดอง เพื่อให้คนที่ตัวเองทำการรัฐประหารพ้นผิด
" มีสองสนธิ คนหนึ่งลูกเจ๊ก อีกคนหนึ่งลูกแขก ที่สำคัญต่างกันตรงที่ สนธิหนึ่งขายชาติเพื่อสมบัติ แต่อีกสนธิหนึ่ง ขายสมบัติเพื่อชาติ พี่น้องพันธมิตรฯ คงพิสูจน์ชัดแล้ว กรณีข่าวลือว่า สนธิไหนรับเงินจากทักษิณกันแน่ การชุมนุมครั้งนี้ ขอต้อนรับมวลชนทุกฝ่ายที่จุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ ต่อต้านการออกกฎหมายเพื่อนิรโทษกรรมให้ พ.ต.ท.ทักษิณพ้นผิด และแตะต้องหมวดสถาบันกษัตริย์"
สนธิ ประกาศว่า พันธมิตรฯ เปรียบเหมือนทัพหลวง เมื่อมีการผิดสัจจะเราจะต่อสู้จนกว่าจะได้ชัยชนะ การแก้ไขกฎหมาย เพื่อยกเลิกคำพิพากษา ถือเป็นความพยายามละเมิดพระราชอำนาจของพระเจ้าอยู่หัว เพราะตุลาการเสมือนเป็นตัวแทนของพระเจ้าอยู่หัว การลบล้างคำพิพากษาของศาล เพื่อยกความผิดให้ใครก็ตาม วันนี้ถือว่าไม่ใช่เรื่องส่วนตัวอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องของชาติ นักการเมืองทุกวันนี้เปรียบเป็นสัตว์เลื้อยคลาน ไม่มีจริยธรรม ไม่มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดี
พล.ต.จำลอง ศรีเมือง อธิบายว่า “ไม่มีกฎหมายฉบับใดเป็นกฎหมายทำลายชาติ เท่าร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง ผมขอให้ ส.ส. ในสภา อย่าถอนร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ออก ขอให้ทำถึงที่สุดจะได้จบไว และขอให้รีบเร่งพิจารณาออกมาโดยเร็ว พันธมิตรฯ จะสู้ให้ถึงที่สุด เป็นอย่างไรเป็นกัน"
" การชุมนุมจะเป็นอย่างไร แกนนำจะพิจารณาเป็นขั้นตอน แต่จะต่อสู้ไม่หยุดชะงักแต่จะมีจังหวะรอขั้นตอน ซึ่งมีวันเผด็จศึกแน่นอน ส่วนจะเป็นวันไหน อาจจะเป็นวันนี้ วันพรุ่งนี้ หรือไม่ก็ได้ แกนนำจะพิจารณาอย่างรอบคอบ"
ในอีกด้านหนึ่ง พรรคเพื่อไทย ก็เปิดประตูต้อนรับอดีตนักการเมืองพรรคไทยรักไทย อย่างเป็นทางการ หลังจากทำตัวเป็น “อีแอบ” มานาน
มิหนำซ้ำ ทักษิณ ชินวัตร ยังวิดีโอลิงก์ มาในงานเสวนาของอดีตนักการเมืองพรรคไทยรักไทย เกี่ยวกับการหลอกใช้เสื้อแดง เพื่อออกกฎหมายปรองดองว่า “ สิ่งที่บอกกับพี่น้องคนเสื้อแดงในวันนั้น อาจจะพูดไม่ชัด เพราะสัญญาณแย่มาก อยู่ในบ้านนอก สัญญาณขาดบ้าง ทำให้ไม่มีสมาธิ จึงไม่ครบทุกประเด็น ทำให้เข้าใจผิด ขออภัยมา ณ ที่นี้ ว่าเป็นคนกตัญญูไม่เคยลืมบุญคุณคน แม้กระทั่งคนให้น้ำกินแก้วเดียว ไม่ลืมพี่น้อง โดยเฉพาะเสื้อแดง ไม่เคยลืมบุญคุณและไม่คิดจะเอาตัวรอด มีคนมาเสี้ยม มาพูด เพื่อจะให้เกิดความแตกแยก หัวใจของเราถักทอกันมานาน ถึงแม้ว่าเราจะถูกใส่ร้ายยังไง พวกเราก็ยังรักใคร่กัน ”
กะล่อนไปตามสไตล์เดิม โดยไม่ยอมรับว่า การต่อสู้ที่ผ่านมาทั้งหมด เพื่อร่างกฎหมายปรองดองฉบับนี้
ต่างกับคนที่ทำให้ พรรคไทยรักไทย ถูกยุบ จนนักการเมืองพรรคไทยรักไทย ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี
โดยในวันเดียวกัน ศาลอาญา รัชดา มีคำพิพากษาสั่งจำคุก พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และอดีตรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย พร้อมพวก 3 ปี 4 เดือน ฐานจ้างพรรคเล็กลงเลือกตั้ง ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2 เมษายน 2549 ส่วนนายอมรวิทย์ สุวรรณผา เจ้าหน้าที่ กกต. ที่ดำเนินการตัดต่อ เปลี่ยนแปลงข้อมูลสมาชิกพรรค โดนจำคุก 5 ปี โดยไม่รอลงอาญา
นั่นความเลวร้ายของทักษิณ ที่สร้างความมัวหมองในระบบประชาธิปไตยของไทย
วันนี้ ทักษิณ กำลังตั้งตัวเองเป็นศาล เขียนคำพิพากษากับมือ
แต่คนเสื้อแดงหลายคนลืม “พฤติกรรมขี้ฉ้อ” ของทักษิณ ไป