ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เผยคำวินิจฉัยส่วนตนเสร็จแล้ว แต่ต้องรอคำวินิจฉัยกลางที่จะแล้วเสร็จ 25 ก.ค.ก่อนถึงเผยแพร่ได้ ย้ำ ประชามติเป็นข้อเสนอ อยู่ที่รัฐบาลตัดสินใจ แนะทำตามขั้นตอน ดักอย่าตีคำวินิจฉัยเข้าข้างตัวเอง รับท้อใจ ถูกกลุ่มการเมืองคุกคาม ด้วยวิธีที่คนสุจริตใจไม่ทำกัน ยันอดทนทำเพื่อประเทศ
วันนี้ (20 ก.ค.) นายบุญส่ง กุลบุปผา ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เปิดเผยว่า ขณะนี้ทางสำนักงานได้ส่งคำวินิจฉัยกลางคดี การแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ไม่เข้าข่ายล้มล้างการปกครองตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ให้กับตุลาการฯแต่ละคนตรวจทานความถูกต้องแล้ว ก่อนที่จะมีการนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะตุลาการฯเพื่อพิจารณาเห็นชอบในวันที่ 25 ก.ค.จากนั้นตุลาการฯทุกคนก็จะลงนามในคำวินิจฉัยกลาง และนำประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา โดยคำวินิจฉัยกลางจะเป็นการรวมทุกประเด็นที่ศาลรัฐธรรมนูญได้ตั้งประเด็นในการวินิจฉัยไว้ทั้งหมด
ส่วนคำวินิจฉัยส่วนตนนั้น ของตนเขียนเสร็จแล้วตั้งแต่วันที่ 13 ก.ค.เป็นการเขียนแบบสั้นๆ เนื้อหาเข้าใจง่าย แต่ยังเผยแพร่ไม่ได้ เพราะในทางปฏิบัติต้องรอคำวินิจฉัยกลางออกก่อน เนื่องจากคำวินิจฉัยส่วนตนเป็นส่วนขยายของคำวินิจฉัยกลาง โดยคำวินิจฉัยส่วนตนของตุลาการฯ แต่ละคน แม้จะมีบทสรุปเหมือนกัน แต่เหตุผลที่นำไปสู่บทสรุปจะต่างกัน
เมื่อถามว่า คำวินิจฉัยกลางที่ออกมาจะมีความชัดเจนเลยหรือไม่ ว่า รัฐสภาต้องทำประชามติก่อนแก้ไขรัฐธรรมนูญ นายบุญส่ง กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวโฆษกศาลรัฐธรรมนูญ ได้ชี้แจงไปแล้ว อีกทั้งการทำประชามติเป็นเพียงข้อเสนอแนะของศาลรัฐธรรมนูญเท่านั้น ซึ่งสิทธิชี้ขาดในการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจของรัฐสภา จะปฏิบัติตามหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของทางรัฐสภา
“แต่ข้อเสนอแนะของศาล ก็เหมือนศาลได้ชี้แนะทางที่สะดวกในการแก้ไข หากยังเดินหน้าอาจจะมีปัญหาอุปสรรค และเป็นการเปิดช่องให้ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขครั้งนี้ นำกลับมาเป็นประเด็นเล่นงานรัฐบาลได้ และจะส่งผลกระทบให้เกิดวิกฤตครั้งใหญ่แน่นอน แต่การแก้ไขก็ขึ้นอยู่กับรัฐสภา ซึ่งทางที่ดีควรปฏิบัติตามขั้นตอน และถ้าดำเนินการตามนั้นการแก้ไขก็จะเป็นไปอย่างโปร่งใส” นายบุญส่ง กล่าว
เมื่อถามว่า ฝ่ายการเมืองรอดูคำวินิจฉัยส่วนตนของตุลาการฯเพื่อนำไปในเป็นประโยชน์กับข้อเสนอของฝ่ายตนเอง สามารถทำได้หรือไม่ นายบุญส่ง กล่าวว่า ไม่ได้ ต้องยึดคำวินิจฉัยกลางเป็นหลัก เพราะคำวินิจฉัยส่วนตนของตุลาการฯแต่ละคนนั้น ถึงจะมีข้อสรุปเดียวกัน แต่เหตุผลที่นำไปสู่ข้อสรุปนั้นแตกต่างกัน ซึ่งท้ายที่สุดก็นำมารวมประมวลเขียนเป็นคำวินิจฉัยกลาง จึงต้องถือคำวินิจฉัยกลางเป็นหลัก
อย่างไรก็ตาม นายบุญส่ง ยังได้กล่าวถึงกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ก่อนที่ศาลจะมีคำวินิจฉัยออกมาว่า ช่วงที่มาเป็นตุลาการฯแรกๆ รู้สึกท้อ และน้อยใจ เพราะตอนอยู่ศาลยุติธรรมไม่มีอย่างนี้ เพราะมีบทลงโทษฐานละเมิดอำนาจศาล แต่นี่เราคิดว่าเข้ามาทำหน้าที่เพื่อบ้านเมือง พยายามทำงานให้ดี แต่ก็กลับมีคนกลุ่มหนึ่ง ประกาศเบอร์โทรศัพท์ของตนของเพื่อนตุลาการฯ และครอบครัวตุลาการฯอย่างเปิดเผยบนเวทีปราศรัย ซึ่งก็มีคนโทรศัพท์มาโดยใช้ถ้อยคำไม่ดี เป็นการใช้วิธีที่คนสุจริตใจเขาไม่ทำกัน ยิ่งตอนที่วินิจฉัยยุบ 3 พรรคการเมืองในอดีต พอตัดสิน ก็ต้องให้รถทหารมารับไปพักที่เซฟเฮาส์ถึง 3 วัน 3 คืน แต่เวลานี้เริ่มชินแล้วเพราะเจอเหตุการณ์แบบนี้บ่อยครั้ง จึงต้องอดทนทำงานต่อไปด้วยความอดทน