แกนนำพันธมิตรฯ เผยเคารพคำวินิจฉัยของศาล ไม่นำมวลชนออกมาเคลื่อนไหว ด้านทนายพันธมิตรฯ เผย รับได้กับคำวินิจฉัย แม้ยกฟ้องประเด็นล้มล้างการปกครอง แต่ไม่ตัดสิทธิ์หากจะยื่นฟ้องใหม่ ระบุ คำวินิจฉัยให้ยื่นตรงต่อศาล รธน.ได้ การันตีอำนาจประชาชน รัฐบาลจะแก้ตามที่ “ทักษิณ” ต้องการไม่ได้แล้ว
วันนี้ (13 ก.ค.) ที่บ้านพระอาทิตย์ นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ให้สัมภาษณ์ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญ จะมีคำวินิจฉัยคดีแก้รัฐธรรมนูญมาตรา 291 เข้าข่ายล้มล้างการปกครองตามมาตรา 68 หรือไม่ ว่า ตนเคารพกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ไม่ให้มีการแก้ไขมาตรา 291 ที่จะนำไปสู่การยกร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ซึ่งท่าทีของแกนนำก็ได้แสดงจุดยืนการเคารพคำวินิจฉัย ไม่มีการนำมวลชนพันธมิตรฯ ออกมาเคลื่อนไหวแต่อย่างใด พร้อมกันนี้ จะเดินหน้าคดีที่พันธมิตรฯ ฟ้องร้อง ส.ส. ส.ว.นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี รวม 416 คน ตราบใดที่ยังไม่มีการยกเลิกความผิด หรือจะเอา พ.ร.บ.ปรองดองเข้าไปอยู่ในที่ประชุมสภา
ส่วน นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ให้สัมภาษณ์ในรายการหอกระจายข่าว ทางสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี ว่า ตนรับได้ในคำวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ในครั้งนี้ และตนถือว่า พวกเราก็ได้ชนะอยู่บางส่วน แม้จะไม่ชนะทั้งหมดในคำวินิจฉัยนี้ ซึ่งในประเด็นที่หนึ่ง ถ้าต่อไปนี้มีใครจะแก้ไขรัฐธรรมนูญอาจเป็นการล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงหรือได้อำนาจมาซึ่งการปกครองอันมิใช่เป็นไปโดยที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้
โดยประชาชนทุกคนสามารถยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้เลย ไม่จำต้องไปยื่นที่อัยการสูงสุดอีกต่อไป นี่คือ หลักเกณฑ์ใหม่ที่จะถูกจารึก และถ้าถูกวินิจฉัยไว้แล้ว ต่อไปนี้ก็ไม่ต้องไปนั่งรออัยการสูงสุดว่าจะยื่นให้หรือไม่ หากเกิดเหตุขึ้นก็มายื่นศาลรัฐธรรมนูญโดยตรงได้เลย เพราะมาตรา 68 เป็นลักษณะของการป้องกัน หากปล่อยให้มีการกระทำหรือลงมติในวาระสามไปแล้ว ก็เป็นการยากที่จะเยียวยา เป็นการสุดวิสัยที่จะกลับมาให้เหมือนเดิมได้ ประชาชนจึงมีสิทธิโดยสันติวิธีที่จะต่อสู้และปกป้องอำนาจพิทักษ์รัฐธรรมนูญเอาไว้
ส่วนประเด็นที่สอง การกระทำครั้งนี้เป็นการยกเลิกรัฐธรรมนูญทั้งฉบับหรือไม่ ศาลวินิจฉัยว่า อำนาจก่อตั้งหรือสถาปนารัฐธรรมนูญ เป็นของปวงชนชาวไทย วุฒิสภา สภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ เป็นเพียงผู้ใช้รัฐธรรมนูญ จะมาล้มล้างอำนาจสถาปนา หรืออำนาจก่อตั้งรัฐธรรมนูญของปวงชนชาวไทยไม่ได้ ถ้าจะแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับต้องไปทำประชามติถามประชาชนมาก่อน ดังนั้นมีผลว่าสิ่งที่เขาทำไปทั้งหมดในวาระ 1 และ 2 เพื่อที่จะแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับนั้น ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไว้แล้วว่าทำไม่ได้ ทำไม่ถูก
ทั้งนี้ เพียงแต่ได้ 2 ข้อตรงนี้เป็นหลักประกันพอสมควรสำหรับประชาชน แม้ในประเด็นที่สามที่ผู้ร้องร้องว่าการกระทำเช่นนี้เป็นการล้มล้างอำนาจการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ โดยมิใช่เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญนี้ ซึ่งศาลยกคำร้องในประเด็นที่สาม ก็ไม่ตัดสิทธิ์เราจะยื่นใหม่เมื่อใดก็ได้ หากมีการกระทำต่างๆ เกิดขึ้นมาเพื่อล้มล้างรัฐธรรมนูญ
“เพราะฉะนั้น คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญวันนี้ ก็ออกมาลักษณะเหมือนวิน-วิน (Win-Win) ให้ทั้งสองฝ่าย เพราะฉะนั้นฝ่ายกลุ่มคนเสื้อแดงจะมาอ้างเหตุในการก่อให้เกิดความวุ่นวาย ไปจับตัวตุลาการศาลรัฐธรรมนูญก็ไม่มีเหตุที่จะทำเช่นนั้นแล้ว” นายสุวัตร กล่าว
เมื่อถามว่า ในส่วนขั้นตอนต่อไปถ้าพรรคเพื่อไทยแก้ไขรัฐธรรมนูญได้สะดวกขึ้น โดยการร่างรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตราที่อยากได้นั้นจะเป็นอย่างไร นายสุวัตร กล่าวว่า แม้จะเป็นการแก้ไขเป็นรายมาตรา แต่ถ้าล้มล้างหรือให้ได้มาซึ่งอำนาจการปกครอง ซึ่งถ้าเปลี่ยนหลักการของรัฐธรรมนูญนี้ ก็ทำไม่ได้ พอใครมาร้อง ศาลรัฐธรรมนูญก็จะรับคำร้องไว้เลย และถ้าเข้าเงื่อนไขก็จะสั่งให้หยุดการกระทำ ซึ่งเราได้ความมั่นใจ ได้ศาลรัฐธรรมนูญการันตีอำนาจของปวงชนชาวไทยไว้ในระดับหนึ่ง
“ศาลก็พูดว่าในอนาคตข้างหน้าถ้ามีการกระทำเกิดขึ้นก็ไม่ตัดสิทธิ์ประชาชนที่จะมายื่นคำร้องได้ ศาลเปิดทางไว้ให้เลย ต่อไปนี้มีถนนที่จะเดินในระบบศาล ไม่จำต้องไปเดินกลางถนนกันอีกต่อไป ถ้ามีอะไรก็ไปศาลรัฐธรรมนูญ เพราะว่าในประเด็นที่ 3 บอกว่า ล้มล้างหรือไม่ ก็ยังเห็นว่ายังไม่มีข้อเท็จจริงเพียงพอที่จะฟังได้ เพราะเขายังไม่ได้ตั้ง ส.ส.ร.และยังมีข้อจำกัดในการแก้ไขจะเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองหรือจะเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐจะกระทำมิได้ ซึ่งเขาเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญมาตรา 291 วรรค 5 ต้องไม่กระทบสาระสำคัญแห่งรัฐ” นายสุวัตร กล่าว
ทนายความพันธมิตรฯ กล่าวต่อว่า การเปลี่ยนแปลงบุคคล บุคคลใดที่ทราบก็มีสิทธิ์ที่จะยื่นคำร้องได้ทุกช่วงเหตุการณ์ ผู้ที่ทราบว่า มีการเปลี่ยนแปลงจะยื่นคำร้องได้ทุกช่วงเหตุการณ์ และพยานผู้ถูกร้องทุกคนก็บอกว่าไม่มีใครมีเจตนาล้มล้าง และจะตั้งมั่นในรัฐธรรมนูญแบบเดิม ก็หมายความว่าถ้าจะแก้ตามแบบที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต้องการก็ทำไม่ได้แล้ว ถ้าทำก็จะไปร้องอีก หากล้มล้างมาตรา 309 จะยอมเหรอ จะฟอกผิดให้การกระทำ คตส.เป็นโมฆะ แล้วจะไม่ต้องติดคุก 2 ปี ได้เงิน 4.6 หมื่นล้านบาทคืน อย่างนี้เราก็ไม่ยอม เราก็ไปค้าน ถ้าจะแก้มาตรา 190 เรื่อง สนธิสัญญาต่างประเทศ จะยกปราสาทพระวิหารให้กัมพูชาก็จะไปค้านอีก จะไปยกสนามบินอู่ตะเภา ให้นาซามาใช้ประโยชน์ เป็นการสอดแนมเพื่อนบ้าน ก็จะไปค้านอีก ถ้าจะแก้มาตรา 237 ที่จะยกเลิกโทษคนที่ซื้อสิทธิ์ขายเสียงมา พวกเราก็ไปยื่นคำร้องอีก
“เพราะฉะนั้นมันไม่หมูแล้วสำหรับรัฐบาลชุดนี้ จะทำอะไรได้ ทำอะไรตามใจชอบ อยู่ๆ ฉันจะออกกฎหมายปรองดอง ฉันจะแก้รัฐธรรมนูญ มันไม่หวานหมูเหมือนที่เขาคิด จริงๆ เขาต้องการแก้มาตรา 190 เรื่องอำนาจในการทำสนธิสัญญา หรือเวลาไปตกลงกับต่างประเทศ 237 เขาต้องการแก้ แล้วก็ 309 เขาต้องการแก้มาตั้งแต่สมัยรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช ซึ่งเป็นนอมินีของ พ.ต.ท.ทักษิณแล้ว แต่พันธมิตรฯ ออกไปค้านเขาแก้ไม่ได้ รัฐบาลนี้ก็บอกจะแก้ทั้งฉบับ ศาลรัฐธรรมนุญก็บอกแก้ทั้งฉบับแก้ไม่ได้นะ ต้องกลับไปถามประชาชนก่อนว่าเขาจะยอมไหม เมื่อแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับไม่ได้เขาก็มาไล่แก้ทีละฉบับ ถ้าแก้ทีละฉบับแล้วมันขัดกับรัฐธรรมนูญนี้ เราก็ร้องได้ตลอดเวลา” ทนายพันธมิตรฯ กล่าว
เมื่อถามถึงสถานการณ์นับจากนี้ภายหลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำตัดสิน นายสุวัตร กล่าวว่า มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับพวกเราหรือประชาชน มันขึ้นอยู่กับรัฐบาลว่าจะเอายังไง จะเห็นได้ว่า เหตุที่มันมีเรื่องอยู่ทุกวัน ก็เพราะรัฐบาลขี้ฉ้อต้องการแก้รัฐธรรมนูญ ถ้าอยู่เฉยๆ บ้านเมืองมันจะวุ่นวายไหม คุณได้อำนาจรัฐไปแล้ว คุณจะใช้งบประมาณ จะทำอะไรก็ทำได้ตลอด ไม่เห็นมีใครออกมาคัดค้าน อยู่ๆ วันหนึ่งบอกว่าจะแก้รัฐธรรมนูญ เพื่อให้ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมา ก็เป็นการกระทำของรัฐบาลนี้ การจะแก้กฎหมายปรองดอง รัฐบาลชุดนี้ก็เป็นคนแก้ ประชาชนก็อยู่ของเขาเฉยๆ รัฐบาลไปถ่มน้ำลาย ไปกระทืบหัวใจของประชาชนเขาเอง เขาก็คัดค้านให้ เพราะฉะนั้นสถานการณ์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพันธมิตรฯ กับประชาชน มันขึ้นอยู่กับรัฐบาลจะใส่ไฟเข้าไปเมื่อไหร่ จะจุดไม้ขีดใส่เข้าไปในกองเพลิงเมื่อไหร่ พวกเราคอยแต่ปกป้องชาติบ้านเมือง เมื่อเขามีอำนาจรัฐเราไปคัดค้านอะไรเขา จนเขาย่ามใจจะออกมาแก้รัฐธรรมนูญ กับกฎหมายปรองดองเราจึงลุกขึ้นมาต่อต้าน มันจะรุนแรงหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับกลุ่มคนเสื้อแดงหรือรัฐบาล