ประธานสภาเผยส่งคำแจงแก้รัฐธรรมนูญให้ศาลแล้ว ยันใช้สิทธิตามกฎหมาย ไม่ใช่ ม.68 อ้างเขียนไว้ชัด ส.ส.ร.ต้องไม่ล้มล้างการปกครอง รอดูบรรยากาศก่อนเปิดโหวต ขอประสานทุกฝ่ายสานเสวนาปรองดองแบบเงียบๆ ขี้เกียจนั่งนับตีน โอดถ้ามีอำนาจตัดสินใจคนเดียวก็ดี การันตีถ้าเปิดสมัยวิฯ คงพิจารณาแค่อู่ตะเภา ไม่เชื่อ “แม้ว” ดึง ปชป. ชี้ถ้าทำเท่ากับฆ่าตัวตายเพื่อไทยไม่โง่ขนาดนี้ ลั่นไม่ยอมเสียค่าโง่สร้างสภาให้เอกชน
วันนี้ (19 มิ.ย.) ที่รัฐสภา นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงการส่งคำชี้แจงไปให้ศาลรัฐธรรมนูญกรณีมาตรา 68 ว่า ตนเพิ่งลงนามเมื่อตอนเที่ยง (19 มิ.ย.) ส่งคำชี้แจงรายละเอียดไป 5 หน้ากระดาษ ชี้แจงว่ารัฐสภาได้ดำเนินการตามขั้นตอนรัฐธรรมนูญทุกประการ และมาตรา 68 เป็นเรื่องสิทธิเสรีภาพ แต่การที่รัฐสภาดำเนินการเป็นการดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ ไม่ได้ใช้สิทธิเสรีภาพ ซึ่งมาตรา 68 ที่ระบุไว้หมายถึงการใช้สิทธิและเสรีภาพ แต่การดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญเราใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ ไม่ได้ใช้สิทธิตามมาตรา 68 เพราะรัฐธรรมนูญให้อำนาจไว้ เพราะฉะนั้นไม่เข้าข่ายการใช้สิทธิและเสรีภาพ
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในอนาคตและขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 68 สภาก็ปฏิเสธไม่ได้ต้องรับอย่างเดียว นายสมศักดิ์กล่าวว่า เรายึดรัฐธรรมนูญเพราะรัฐธรรมนูญใหญ่สุด เราก็ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ ไม่มีอะไรขัดรัฐธรรมนูญ
เมื่อถามว่า ศาลรัฐธรรมนูญระบุว่าล้มล้างระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขชี้แจงว่าอย่างไร นายสมศักดิ์กล่าวว่า จะล้มล้างได้อย่างไร เพราะในการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติมก็ได้ระบุไว้ชัดเจนในมาตรา 291/11 วรรคห้า ว่า ส.ส.ร.จะต้องไม่ล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย หรือเปลี่ยนรูปการปกครองของรัฐ ระบุไว้ชัดเจน ทำไม่ได้ ข้อกล่าวหาของเขาไม่อาจทำได้อยู่แล้ว ในเมื่อระบุไว้ชัดเจนไม่ให้ทำแล้วจะทำได้อย่างไร
เมื่อถามว่า หากศาลตัดสินก่อนวันที่ 1 ส.ค.จะมีการเปิดประชุมสภาฯ โหวตหรือไม่ นายสมศักดิ์กล่าวว่า อาจจะไม่จำเป็นถึงขนาดนั้น แต่ต้องดูบรรยากาศว่าเป็นอย่างไร
เมื่อถามว่า พอเปิดประชุมสภาฯ ก็จะต้องพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติทันทีจะมีแนวทางในการรับมืออย่างไร นายสมศักดิ์กล่าวว่า ความเห็นส่วนตัวเห็นว่าควรจะมีการสานเสวนาทางออกเพื่อลดความขัดแย้ง และการตัดสินไม่ลงมติวาระ 3 ก็เหตุผลเดียวกัน เมื่อถามว่า เรื่องสานเสวนาใครจะเป็นคนเริ่ม นายสมศักดิ์กล่าวว่า ตนจะพยายามประสานกับทุกฝ่ายที่ควรพูดคุย เริ่มตั้งแต่วันนี้ แต่ไม่เหมาะที่จะพูดผ่านสื่อ ขอเงียบๆ ดีกว่า ขี้เกียจนั่งนับตีน แต่จะประสานในฐานะส่วนตัว พูดคุย ทำความเข้าใจกับทุกภาคส่วนที่ควรจะพูดคุย เมื่อถามว่าจะสามารถลดอุณหภูมิความขัดแย้งลงได้ใช่หรือไม่ นายสมศักดิ์กล่าวว่า ก็หวังไว้อย่างนั้น เมื่อถามย้ำว่า หากประสานแล้วไม่เห็นด้วยก็จะถอยใช่หรือไม่ นายสมศักดิ์กล่าวว่า ก็ต้องดูอีกครั้ง ถ้าตนมีอำนาจตัดสินใจคนเดียวก็จะดี
นายสมศักดิ์ยังให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่รัฐบาลจะอนุมัติให้สหรัฐฯ ใช้สนามบินอู่ตะเภาจำเป็นต้องนำเรื่องเข้าที่ประชุมร่วมรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 190 ว่า เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องตัดสินว่าเข้าข่ายมาตรา 190 หรือไม่ ถ้าเข้าข่ายก็เสนอมา ซึ่งก็ต้องดูว่าต้องเปิดประชุมสมัยวิสามัญหรือไม่ แต่ส่วนตัวก็ต้องดูความเหมาะสม แต่ถ้าจะเปิดก็ไม่มีเรื่องอื่นแอบแฝง อย่างไรก็ตามตนก็ไม่ทราบว่าเนื้อหาในการขอใช้สนามบินอู่ตะเภาเป็นอย่างไร เมื่อถามว่า ที่ผ่านมาหลายกระทรวงหากจะทำอะไรกับต่างประเทศก็ต้องนำเข้าสู่ที่ประชุมรัฐสภา นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ตนไม่ทราบรายละเอียดจริงๆ ไม่อยากจะวิจารณ์ ต้องให้ ครม.วินิจฉัยก่อนว่าควรจะทำอย่างไร เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของฝ่ายนิติบัญญัติ แต่ขอให้มั่นใจว่าถ้าเปิดก็เปิดเพื่อการนี้ไม่มีอะไรแอบแฝง
ประธานสภาผู้แทนราษฎรกล่าวถึงกรณีที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ระบุ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ส่ง 2 ท่านผู้หญิง และ 1 ชาย ทาบพรรคประชาธิปัตย์ร่วมรัฐบาล โดยแลกกับการผ่านกฎหมายปรองดองและรัฐธรรมนูญว่า “ถ้าเป็นความจริงก็รู้กันไม่กี่คน แล้วใครจะให้คำตอบได้ แต่ก็ต้องดูความเป็นไปได้ว่าเป็นไปได้ไหม เอาผมไปฆ่าก็ไม่เชื่อ มันจะเป็นไปได้อย่างไร แค่คิดก็โอ้โฮ ผมได้ยินใครพูดก่อนหน้านี้ว่าถ้าเป็นจริงได้พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก มันเป็นไปได้อย่างไร”
เมื่อถามว่า อาจเป็นการเมืองไทยยุคใหม่ นายสมศักดิ์กล่าวสีหน้าจริงจังว่า “ไม่ได้หรอก ไม่ได้เลยใครจะไปทำอย่างนั้น ถ้าทำอย่างนั้นพรรคเพื่อไทยจะอยู่อย่างไร วิธีฆ่าตัวตายที่ตายแบบสนิทที่สุดถ้าทำแบบที่ว่าเนี้ย แล้วถามว่าคนพรรคเพื่อไทยไม่มีสมองกันเลยหรือ ช่วยหาวิธีที่โง่กว่านี้มีอีกไหม สำหรับพรรคเพื่อไทยไปคุยเอาพรรคประชาธิปัตย์มาร่วมรัฐบาลเพื่อต่อรองเงื่อนไขที่ว่าช่วยคิดวิธีที่โง่มีอีกไหม แล้วใครจะไปคิดวิธีที่โง่ขนาดนี้ได้ ในพรรคเพื่อไทยไม่โง่ขนาดนี้หรอก”
นายสมศักดิ์ยังกล่าวถึงการเปิดเวทีปราศรัยของพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์ว่า ถือเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ แต่นักการเมืองต้องมีจิตสำนึกในการให้ข้อมูลแก่ประชาชน และต้องไม่เป็นผู้เป็นต้นเหตุของความขัดแย้งเอง
สำหรับความคืบหน้าการดำเนินการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ นายสมศักดิ์กล่าวว่า ได้เชิญเลขาธิการสภาฯ มาหารือในเรื่องดังกล่าว พร้อมที่จะเร่งดำเนินการคืนพื้นที่ แม้ว่าจะมีการประกวดราคาและเซ็นสัญญาแล้ว แต่ก็มีความล่าช้ามาจากการขอคืนพื้นที่ ซึ่งภายในเดือนหน้าจะมีความชัดเจนเกี่ยวกับการคืนพื้นที่ และน่าจะดำเนินการได้ในภายปีนี้ ยืนยันว่าจะไม่ยอมเสียค่าโง่ให้บริษัทเอกชนอีก