ผ่าประเด็นร้อน
สังเกตอาการเคลื่อนไหวของแต่ละคน แต่ละกลุ่มในเครือข่าย ทักษิณ ชินวัตร เวลานี้ที่มีทั้งออกท่าทางโกรธเกรี้ยวตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ด่าทอกันไม่หยุดปาก เอาเป็นว่าถ้าใครมีแรงด่าเท่าไหร่ก็ตะเบ็งเสียงออกมากันให้เต็มที่ไม่ต้องยั้ง หรือใครมีความสามารถในเรื่องการข่มขู่คุกคามก็ได้เวลาจัดการพร้อมๆกัน เรียกได้ว่าใครถนัดแบบไหนก็แสดงออกมาให้เต็มที่
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นต้องมองภาพเป็นอย่างนั้นจริงๆ
อย่างไรก็ดี ถ้ามองในมุมของทักษิณ ก็ต้องโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงแน่นอน หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องพิจารณาว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 มีเจตนาล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยหรือไม่ พร้อมทั้งทำหนังสือไปยังสำนักเลขานุการสภาผู้แทนราษฎรให้แจ้งไปยังประธานรัฐสภาให้ชะลอการลงมติแก้ไขในวาระที่ 3 ออกไปก่อน โดยให้ทั้งสองฝ่ายคือผู้ร้องและผู้ถูกร้องมาชี้แจงในวันที่ 5-6 กรกฎาคม
นั่นก็ทำให้กระบวนการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่ทักษิณวาดฝันเอาไว้ว่าจะสำเร็จโดยเร็วต้องสะดุดลง และที่สำคัญเริ่มมีปัจจัยภายนอกเข้ามาจนมีความเสี่ยงและควบคุมสถานการณ์ได้ยากขึ้น
แน่นอนว่าที่ผ่านมา ทักษิณรวมไปถึงคนใกล้ชิดต่างออกมาปฏิเสธเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่ได้เกี่ยวข้อง ซึ่งก็พูดกันไป แต่คงจะมีแต่คนที่ไร้ปัญญาเท่านั้นที่เชื่อ เหมือนกับที่อ้างว่าเขาไม่ได้เป็นเจ้าของพรรคเพื่อไทย ไม่ได้เป็นเจ้าของรัฐบาล รวมทั้งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเห็นชอบตำแหน่งรัฐมนตรี นั่นแหละ
ในทางตรงกันข้ามเมื่อเชื่อว่าทักษิณมีส่วนเกี่ยวข้อง และเป็นเจ้าของ ก็ต้องเข้าใจอารมณ์โกรธของเขาว่าพุ่งปรี๊ดขนาดไหน เพราะในเมื่อทั้งร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ และร่างพระราชบัญญัติปรองดอง (ล้างผิด) ถูกขัดคอแบบนี้มันก็ย่อมส่งผลให้กำหนดการทุกอย่างที่วางเอาไว้เป็นตารางเวลามันก็ต้องเลื่อนออกไป เรียกได้ว่า “รวนไปหมด”
ดังนั้นเราจึงได้เห็นอารมณ์ร่วม และการ “แสดงโชว์” ในทำนองว่าเมื่อนายโกรธ ลูกน้องก็ต้องโกรธตามไปด้วย อย่างที่เห็น
เราได้เห็นคนในพรรคเพื่อไทย ทั้งที่เป็นรัฐมนตรี เป็น ส.ส.ปลายแถว พวกสมาชิก 111 ที่เพิ่งโผล่หัวออกมาพ้นน้ำมาหมาดๆ พวกนิติราษฎร์ บรรดาหัวโจกคนเสื้อแดง ก็แสดงอาการออกมาในทางเดียวกัน แต่ถ้าสังเกตให้ดีก็จะพบว่าเป็นการแข่งขันแสดงบทบาทว่าใครทำได้ “เข้าตา” มากกว่ากัน เพราะนั่นย่อมส่งผลต่ออนาคตภายหน้า ยิ่งเวลานี้เป็นช่วงที่กำลังขับเคี่ยวชิงดีชิงเด่นก่อนที่รายชื่อคณะรัฐมนตรีชุดใหม่กำลังจะส่งขึ้นไป ชาวบ้านก็ยิ่งได้อาการแปลกๆมากขึ้นทุกที
อย่างไรก็ดี แม้ว่านาทีนี้ยังไม่อาจสรุปได้ชัดว่าในที่สุดแล้ว ทักษิณและเครือข่ายจะกล้าชนศาลหรือไม่ เพราะเท่าที่เห็นแม้ว่าจะมีการข่มขู่ โจมตีสารพัด แล้วแต่ใครจะนึกขึ้นได้และสรรหามา แต่ประเด็นก็ยังอยู่ในที่ประชุมรัฐสภา ที่มี สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ว่าจะชี้ขาดในตอนท้ายอย่างไรต่างหาก จะหน้ามืดเดินหน้าลงมติ หรือว่าชะลอรอให้ชัดเจนตามความเห็นของศาลรัฐธรรมนูญ ถ้าตัดสินใจอย่างแรก นั่นก็หมายความว่าสมศักดิ์กำลังเสี่ยงกับโทษอาญาและสถานการณ์อาจพลิกผันไปแบบไม่คาดคิดก็เป็นได้
นาทีนี้ทุกอย่างขึ้นอยู่กับ สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ คนเดียว ส่วนพวกที่ยุ ประเภท “บุกเข้าไป ไม่ต้องกลัวมัน” อะไรประมาณนั้น คนพวกนี้มีส่วนรับผิดชอบน้อยลงมา เป็นเพียงแค่การแสดงเพื่อเอาใจ ทักษิณ เพื่อหวังไป “วางบิล” เท่านั้น แต่เท่าที่พิจารณาจากวาระการประชุมร่วมรัฐสภาในวันที่ 8 มิถุนายน ไม่ได้บรรจุเรื่องการลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 3 เข้ามาแต่อย่างใด ส่วนที่มีการกล่าวกันว่ามีความเป็นได้ที่จะมี ส.ส.พรรคเพื่อไทยเสนอญัตติแบบปากเปล่าให้มีการลงมติ ก็สามารถทำได้ แต่จากการให้ความเห็นของเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรบอกว่า ไม่เคยมีธรรมเนียมปฏิบัติแบบนี้มาก่อน
ที่น่าสนใจก็คือ คำแถลงย้ำของประธานศาลรัฐธรรมนูญ วสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ว่าถ้าสภายังดึงดันลงมติ หากผิดพลาดขึ้นมาก็ต้องรับผิดชอบ โดยเฉพาะประธานรัฐสภา ขณะเดียวกันยังบอกด้วยว่า ก็แค่ชะลอไปอีกประมาณอีกเดือนเศษเท่านั้นเพื่อทำให้เกิดความชัดเจนทำไมถึงรอไม่ได้ มันมีวาระซ่อนเร้นอะไรอยู่ข้างหลังหรือไม่ ทำให้สังคมต้องตั้งคำถามถึงความลุกลี้ลุกลน และยังทำให้ข้อสงสัยเรื่องการล้มล้างการปกครอง ด้วยการฉีกรัฐธรรมนูญเป็นจริงเป็นจังมากขึ้น เพราะมีพิรุธไม่น่าไว้วางใจ
ดังนั้นย้ำอีกครั้งนาทีนี้ต้องโฟกัสไปที่ สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ว่าจะตัดสินใจในนาทีสุดท้ายอย่างไร จากค้อนปลอม กลายเป็น “ค้อนเน่า” อีกไม่กี่ชั่วโมงก็รู้กัน!!