ผ่าประเด็นร้อน
เริ่มส่งสัญญาณขย่มศาลรัฐธรรมนูญกันอย่างเต็มที่มาจากฝั่ง ทักษิณ ชินวัตร และลูกน้อง ทั้งในและนอกสภา รวมไปถึงเครือข่ายนักวิชาการแดง ที่ในที่สุดแล้วก็ต้องโผล่หัวออกมาให้เห็นหน้ากันอีกรอบ
อย่างไรก็ดี มองในมุมทักษิณก็ถือว่าไม่น่าแปลกใจที่ต้องแสดงปฏิกิริยาให้เห็นแบบนั้น เพราะมติที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องพิจารณาว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 เพื่อยกร่างใหม่เป็นการกระทำที่ส่อไปในทางล้มล้างการปกครองในระบอบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข หรือไม่ พร้อมทั้งสั่งให้รัฐสภาเลื่อนการลงมติการแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระที่ 3 ออกไปก่อน
ขณะเดียวกันก็ให้มีการไต่สวนทั้งสองฝ่าย คือ ฝ่ายผู้ร้อง และผู้ถูกร้อง ในวันที่ 5 กรกฎาคม อย่างไรก็ดีแม้ว่าในที่สุดแล้ว ประธานรัฐสภา สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ได้สั่งเลื่อนการลงมติออกไปไม่มีกำหนด แต่หลังจากนั้นไม่นาน ทักษิณ ชินวัตร ก็แสดงอาการโกรธเกรี้ยวโจมตีศาลรัฐธรรมนูญอย่างรุนแรงว่า “ปล้นอำนาจ” และหันกลับมาง้อคืนดีกับกลุ่มคนเสื้อแดงอีกครั้งหลังจากถีบหัวเรือส่งไปแล้วก่อนหน้านี้ พร้อมทั้งส่งสัญญาณสู้เต็มพิกัด
หลังจากนั้นก็อย่าได้แปลกใจที่จะได้เห็นการเคลื่อนไหวกันอย่างสอดรับกันของบรรดาเครือข่ายทักษิณ ทั้งในและนอกสภา ไม่ว่าจะเป็นบรรดาหัวโจกคนเสื้อแดง ส.ส.พรรคเพื่อไทย ก็เรียงหน้าออกมาถล่มไม่ยั้ง รวมทั้งพวกกลุ่มนิติราษฎร์นักวิชาการแดง ก็ออกมา ทำนองว่าศาลทำเกินหน้าที่ และที่น่าสนใจก็คือ สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ได้นัดประชุมรัฐสภาเพื่อขอมติว่าจะลงมติในวาระ 3 หรือไม่
เอาเป็นว่าเครือข่ายทักษิณ แสดงท่าทีท้าทายศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งประเด็นที่ต้องจับตามองที่สุดก็คือรัฐสภาจะกล้าฝืนมติศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ แม้จะปากกล้าบอกว่า “ไม่มีสิทธิ์มาบังคับสภา” แต่ถ้าพิจารณาใน มาตรา 216 วรรคห้าของรัฐธรรมนูญ ระบุว่า “คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล และองค์กรอื่นของรัฐ”
ถ้ายังคิดจะเสี่ยงก็ไม่ว่ากัน ก็ลองดู เพราะหากยังหน้ามืดดันทุรัง มันก็ย่อมมีผลต่อเนื่องบานปลายในภายหลังเรื่องคดีอาญา และที่สำคัญอาจมีผลไปถึงเรื่องคดียุบพรรคตามมา เมื่อถึงตอนนั้นคงไม่ใช่เรื่อง “สองมาตรฐาน” ที่จะมาโวยวาย เพราะได้เตือนกันแล้ว
สิ่งที่ต้องมาพิจารณากันต่อว่า ทำไม ทักษิณ ถึงได้ลุกลี้ลุกลนเร่งรีบให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ทั้งที่ไม่ว่ามองในมุมไหนก็ไม่เห็นเป็นเรื่องเร่งด่วน “คอขาดบาดตาย” เพราะไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการบริหารราชการแผ่นดิน หรือไม่ได้บั่นทอนสติปัญญาของนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เลยแม้แต่น้อย ในเมื่อไม่เป็นอุปสรรค แล้วทำไมถึงต้องหน้ามือเร่งวันเร่งคืนอย่างนี้ คำตอบ ก็เป็นเพราะ “รอไม่ได้” นั่นแหละ แต่ปัญหาก็คือ ถ้าจะเดินหน้าต่อมันก็ยิ่งถลำลึกลงหลุมไปเรื่อยๆ
อย่างที่รับรู้กันไปตั้งนานแล้วว่า สาเหตุที่ทักษิณรอไม่ได้ก็เป็นเพราะทุกอย่างเริ่ม “ไม่ชัวร์” หลายอย่างผิดคาดหมายไปอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องผลงานของน้องสาวตัวเองที่ออกมาห่วยเกินคาด ชาวบ้านจับได้ว่า “กลวง” อย่างรวดเร็ว เรื่องค่าครองชีพที่สูงลิบลิ่ว มันก็เป็นเรื่องใหญ่ที่กำลังทำให้ “แม้วคิด เพื่อไทยทำให้เดือดร้อน” กำลังถูกขยายผลออกไปเรื่อยๆ ที่น่าสนใจก็คือฝ่ายตรงข้ามอย่างพรรคประชาธิปัตย์ที่ “เล่นย้อนศร” ทำอย่างที่ ทักษิณ เคยทำไม่มีผิด ใช้ทั้งสื่อตัวเอง เล่นคู่ขนานทั้งในและนอกสภา จนทำให้หลายคนเกิดอารมณ์ร่วมไม่น้อย
อย่างไรก็ดี สิ่งที่น่าหวาดเสียวก็คือ การท้าทายอำนาจศาลนี่แหละว่าจะมีชะตากรรมอย่างไร เพราะถ้ารัฐบาลและพรรคเพื่อไทยเดินหน้าดันทุรังให้โหวตแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระสามให้ได้ มันก็ยิ่งทำให้เข้าใจว่ามีเจตนาล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และเสี่ยงต่อการทำผิดกฎหมายอาญาตามมา ขณะเดียวกัน ในภาคสังคมยังมองด้วยความระแวงมากขึ้นว่าสิ่งที่กล่าวหาดังกล่าวเป็นจริง เพราะไม่ว่ามองในมุมไหน การแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนดังกล่าว แม้แต่โพลทุกสำนักยังสะท้อนออกมาชัดว่าให้แก้เรื่องขอแพงก่อน ทำไมทักษิณถึงรอไม่ได้ หรือว่ามีวาระซ่อนเร้นจริงๆ ภาพที่ติดลบอยู่แล้วก็ยิ่งติดลบหนักขึ้นไปอีก
ดังนั้น นาทีนี้ต้องเตือนด้วยความหวังดีว่าถ้าฝ่ายทักษิณฉลาด มองกระแสสังคมทะลุ ก็น่าจะรู้จักผ่อนเกมบ้าง อย่าเล่นกับไฟท้าท้ายอำนาจศาล ท้าทายฝ่ายตรงข้ามมากจนเกินไปนัก เพราะนอกจากจะไม่ได้กลับบ้านอย่างเท่แล้ว ในทางตรงกันข้าม รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่กุมอำนาจรัฐอยู่แล้ว จะพังครืนลงไปได้!!