“ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน” มองมุมรัฐศาสตร์ ชูศาลรัฐธรรมนูญกล้าตัดสินใจแม้โดนถล่มหนักเพื่อป้องกันปัญหา ยันคำสั่งศาลไม่ใช่ให้เลิกแก้ รธน. ชี้ทำสังคมมั่นใจมากขึ้นไม่ได้ฟอกผิดเพื่อใคร ยัน ม.68 ระบุชัดยื่นตรงได้ มีสิทธิทำได้ตาม ม.70 ด้วย หากเพื่อไทยดันทุรังถกวาระ 3 เท่ากับละเมิดศาล เข้าข่ายยุบพรรค แถม กกต.จะกล้าจัดเลือกตั้ง ส.ส.ร.หรือไม่ รับหากเผด็จการรัฐสภาเกิดก็ต้องหนุนตุลาการภิวัตน์ดีกว่ารัฐประหาร
วันนี้ (5 มิ.ย.) นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน กล่าวว่า ตนเห็นว่าคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญที่รับ 5 คำร้องว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ ล้มล้างการปกครอง และสั่งให้รัฐสภาชะลอการพิจารณาลงมติในวาระ 3 ไว้ก่อนนั้น ถ้ามองมุมนิติศาสตร์ด้านเดียวก็อาจมีข้อโต้แย้งที่ถกเถียงกันได้ แต่ถ้ามองในรัฐศาสตร์ควบคู่ไปด้วย เห็นว่าศาลรัฐธรรมนูญกล้าตัดสินใจในสิ่งที่ถูกต้อง แม้จะโดนวิพากษ์วิจารณ์ค่อนข้างหนักก็ตาม เพราะการตัดสินใจครั้งนี้เป็นการป้องกันปัญหาไม่ใช่แก้ปัญหา อย่างที่นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญแถลงไว้
“คำสั่งศาลครั้งนี้ไม่ใช่สั่งให้ยกเลิกกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แค่เป็นการสั่งให้ชะลอเพื่อให้เกิดกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญที่โปร่งใส และปลายทางที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ผมว่าคำสั่งศาลครั้งนี้เป็นประโยชน์ต่อประชาชนโดยรวม เพราะต่อไปเมื่อเข้าสู่กระบวนการไต่สวน ศาลรัฐธรรมนูญก็จะเรียกทั้งผู้ร้องและผู้ถูกร้องไปชี้แจงในข้อสงสัยต่างๆ ถ้าผู้ถูกร้องชี้แจงได้ ก็ดำเนินการพิจารณาปกติต่อไป และยิ่งจะทำให้สังคมมั่นใจมากขึ้นว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ไม่ได้เพื่อฟอกผิดใครบางคน” นายสุริยะใสกล่าว
นายสุริยะใสกล่าวต่อว่า คำชี้แจงของศาลที่ระบุว่า มาตรา 68 ในรัฐธรรมนูญประชาชนสามารถยื่นร้องโดยตรงต่อศาลได้ ไม่ใช่แค่ผ่านอัยการฯ ช่องทางเดียว ถือเป็นคำสั่งที่กล่าวหน้าเพราะเท่ากับเป็นการเปิดประตูให้กว้างขึ้นให้ภาคประชาชนเข้าถึงศาลรัฐธรรมนูญได้โดยตรง เพราะถ้าต้องผ่านช่องอัยการสูงสุดช่องทางเดียวเท่านั้น ก็มีปัญหาว่าถ้าอัยการสูงสุดถูกแทรกแซงจากฝ่ายการเมือง มาตรา 68 ก็เป็นหมัน บังคับใช้ไม่ได้ ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญ ฉบับ 2550 หมวด 4 หน้าที่ของชนชาวไทย มาตรา 70 ระบุว่าบุคคลมีหน้าที่พิทักษ์การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญนี้ ย่อมชี้ให้เห็นว่าหน้าที่พิทักษ์รัฐธรรมนูญเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคน ซึ่งก็เป็นการสมควรแล้วที่ศาลรัฐธรรมนูญซึ่งมีอำนาจพิทักษ์รัฐธรรมนูญโดยตรง จะเปิดช่องให้กับประชาชนทำหน้าที่นี้เพื่อร้องต่อศาลโดยตรงได้
“ถ้าเพื่อไทยจะดันทุรังเดินหน้าประชุมในวาระ 3 ก็เท่ากับเป็นการละเมิดอำนาจศาล ซึ่งเชื่อว่าศาลเองก็คงวินิจฉัยพฤติกรรมว่าเข้าข่ายยุบพรรคได้เลย ที่สำคัญถ้าสภาดันทุรังผ่านวาระ 3 ไป ใครจะเป็นคนกล้านำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญขึ้นทูลเกล้าฯ เพราะเข้าข่ายทำให้เกิดระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทได้เช่นกัน และคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ซึ่งต้องทำหน้าที่จัดการเลือกและสรรหา ส.ส.ร.จะกล้าดำเนินการหรือไม่ เพราะคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญถือว่ามีผลเด็ดขาด และผูกพันกับทุกองค์กร ตามมาตรา 216 วรรค 5 ต้องยอมรับความจริงว่าเมื่อใดก็ตามที่สภาวะเผด็จการโดยรัฐสภามีความรุนแรงขึ้น และอ้างเสียงข้างมากแต่ไม่สนใจความชอบธรรมก็ย่อม ไม่มีทางเลือกที่สังคมไทยจะต้องสนับสนุนตุลาการภิวัฒน์ให้ทำหน้าที่อย่างเข้มข้นขึ้นเช่นกัน ดีกว่าปล่อยให้มีการรัฐประหาร” นายสุริยะใสกล่าว