ส.ส.กทม.รุมป้องผู้ว่าฯ ยัน กทม.ขยายสัญญาจ้าง ไม่ใช่ต่อสัมปทานรถไฟฟ้าฯ ไม่เป็นการเอื้อประโยชน์ให้บริษัทเอกชนตามข้อกล่าวาหา พท. ซัดหยุดเล่นเกมการเมืองใส่ร้ายไม่สร้างสรรค์ หลังผลสอบ CCTV ไร้โกง-เย้ยหากอยากชนะเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ให้หยุดเสี้ยมแล้วหาคนลงให้ได้ก่อน
วันนี้ (27 พ.ค.) น.ส.รัชดา ธนาดิเรก ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทยกล่าวหา กทม.ขยายสัญญาสัมปทานให้รถไฟฟ้าบีทีเอสว่าเป็นการบิดเบือนและหยิบมาเป็นประเด็นมาใส่ร้ายและพยายามใช้กลไกของรัฐเป็นเครื่องมือทำให้ผู้บริหารที่มาจากพรรคประชาธิปัตย์เสียหาย เพราะไม่มีการต่อสัมปทานใดๆ แต่ที่มีการลงนามไปนั้นเป็นการต่อสัญญาจ้าง โดยรายได้ทั้งหมดคือรายได้ทั้งหมดในการดำเนินการธุรกิจขนส่งมวลชนรถไฟฟ้าบีทีเอสในส่วนต่อขยายนั้นเป็นของ กทม. โดยเอกชนจะได้ผลตอบแทนเป็นค่าจ้างเท่านั้น ที่มีการต่อขยายสัญญาจ้างไปอีก 13 ปี คือ สายสีลมในช่วง (ตากสิน-วงเวียนใหญ่) สายสุขุมวิท ส่วนต่อขยาย (อ่อนนุช-แบริ่ง) และส่วนต่อขยายที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต (ตากสิน-เพชรเกษม) ส่วนต่อขยายนี้มีระยะทางทั้งหมด 13 กิโลเมตร และไม่เข้าข่าย พ.ร.บ.รวมลงทุนกับเอกชนตามคำวินิจฉัยของสำนักงานของคณะกรรมการกฎีกาตั้งแต่ปี 2550-2552 จึงขอให้พรรคเพื่อไทยจบเรื่องนี้
“การต่อสัญญาออกไปอีก 13 ปี กทม.นี้จะประหยัดงบประมาณไปได้ 6 พันล้านเพราะว่าค่าจ้างเมื่อคิดเป็นรายปีจะถูกลง ซึ่ง กทม.สามารถนำเงินไปบริหารจัดการซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้องว่าผู้บริหารจะเป็นคนมาจากพรรคใดพรรคเพื่อไทยน่าจะใจกว้างและมองระยะยาวให้เป็นกว่านี้”
น.ส.รัชดายังตั้งข้อสังเกตว่า ในสภา กทม.ได้ผ่านความเห็นชอบใช้งบประมาณ 4,658 ล้านบาท ไปแล้วเมื่อวันที่ 8 มี.ค. 2555 โดยมีสมาชิกทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์เห็นชอบ เป็นเอกฉันท์ แล้วเพื่อไทยจะออกมาโวยวาย จึงเชื่อว่าเรื่องนี้ถูกนำมาเป็นประเด็นทางการเมืองใส่ร้ายป้ายสี และดีเอสไอก็ไม่มีหน้าที่รวบรวมข้อมูลเรื่องนี้ด้วย
น.ส.รัชดายังเรียกร้องให้ ส.ส.พรรคเพื่อไทยหยุดความคิดที่จะแปรญัตติปรับลดงบประมาณของ กทม.ในพิจารณาคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ พ.ศ. 2556 ในวาระ 2 เนื่องจากไม่พอใจผู้บริหารของ กทม.ที่มาจากพรรคประชาธิปัตย์ เพราะว่าในปีนี้ กทม.ไม่ได้รับการพิจารณางบประมาณเลยจากรัฐบาลของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี คนกรุงเทพฯ ถูกลิดรอนสิทธิประโยชน์ไปมากมาย อาทิ งบประมาณลงทุนกว่า 10,000 ล้านบาทที่ต้องใช้แก้ปัญหาและพัฒนาเมืองกรุงเทพฯ อย่างเร่งด่วนก็ไม่ได้รับการพิจารณา
นอกจากนี้ งบประมาณสร้างสนามแข่งขันฟุตซอลชิงแชมป์โลก 2555 ซึ่งถือเป็นหน้าตาของประเทศ มูลค่ากว่า 1,200 ล้านบาท กับได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลพรรคเพื่อไทย น้อยมาก โดยตั้งงบประมาณในปี55 ไว้เพียง 1 ล้านบาท ส่วนปี 56 ไม่ได้แม้แต่บาทเดียว ทำให้ กทม.ต้องตัดงบประมาณในส่วนเองเพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามแผนงาน นอกจากนี้ เงินบำเหน็จดำรงชีพ บำเหน็จบำนาญครูและลูกจ้างประจำของ กทม. และเงินสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลและช่วยเหลือบุตรกว่า 2,500 ล้านบาท ยังคงต้องรออย่างไร้จุดหมาย เงินค่าอาหารกลางวัน อาหารเสริม และสนับสนุนการศึกษาเด็กนักเรียนประมาณ 360,000 คน ได้รับไม่ครบ อีกทั้งเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุประมาณ 500,000 คน กว่า 2,000 ล้านบาท ก็ถูกเบี้ยว
“หากจะแปรญัตติปรับลดงบประมาณของ กทม. เพราะเห็นว่าผู้บริหารเป็นคนพรรคประชาธิปัตย์ ตรงนี้ถือเป็นเรื่องสิ้นคิด ฝากไปยัง ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคเพื่อไทย ให้หยุดเล่นการเมืองแบบใส่ร้ายป้ายสีเสียที เพราะไม่สร้างสรรค์” รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
ด้าน นายชนินท์ รุ่งแสง ส.ส.กทม.กล่าวถึงกรณีการตรวจสอบเรื่องกล้องซีซีทีวีของ กทม.ที่รัฐสภาได้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ชุดหนึ่งขึ้นมาตรวจสอบเรื่องนี้ว่า การที่พรรคเพื่อไทย กำลังเล่นเกมการเมืองใน กทม.เป็นเรื่องการเมืองที่ไม่สร้างสรรค์ ตั้งแต่เหตุการณ์น้ำท่วมที่ใส่ร้ายป้ายสีการทำงานของ กทม.ว่าไม่มีประสทธิภาพ และประชาชนก็ได้เห็นว่าเกิดจากการผันน้ำมาจากต่างจังหวัด และเรื่องซีซีทีวีก็เป็นการกุเรื่องใส่ร้ายป้ายสี ไม่สร้างสรรค์ และหากยังเล่นเกมการเมืองแบบนี้จะไม่สามารถเอาชนะพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งในระดับท้องถิ่นและ ส.ส.ได้ เพราะประชาชนใน กทม.รู้เท่าทัน ทั้งนี้ กรณีที่มีการตั้งข้อสังเกตุเรื่องการตั้งกล้องหลอกนั้น กรรมาธิการได้เชิญนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญมาให้ข้อมูล พบว่าไม่ได้เกิดขึ้นมาที่ประเทศไทยที่เดียว ซึ่งขณะนี้มีข้อสรุปและกำลังบรรจุระเบียบวาระให้สภาพิจารณา โดยที่เสียงส่วนใหญ่ในกรรมาธิการเป็นของพรรคเพื่อไทยก็มีความเห็นสรุปภาพรวมว่าไม่มีอะไรที่ส่อทุจริตไม่โปร่งใสหรือซื้อราคาแพงเกินจริง
“เป็นการเมืองที่มุ่งหวังโจมตีใส่ร้ายป้ายสี ก็เรียกร้องให้สังคมพิจารณาพฤติกรมของพรรคเพื่อไทยว่าเป็นการเมืองสร้างสรรค์หรือไม่อย่างไร และเรียกร้องให้ประธานสภา เร่งบรรจุระเบียบวาระให้ ส.ส.พิจารณาด้วย ซึ่งอยากจะแนะนำให้พรรคเพื่อไทยปรับตัว จะได้เอาชนะพรรคประชาธิปัตย์ได้บ้างและขอให้ไปแก้ตัวกับประชาชนใน กทม.ในเรื่องที่มีความเกี่ยวข้อง เช่น การเผาบ้านเผาเมือง เพื่อที่คนจะได้ไม่ติดใจ รวมทั้งการแก้ไขปัญหาของแพง และการแก้ไขปัญหาปากท้อง ที่คนรออยู่ และหลังจากนี้การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ที่หากจะเอาชนะ ก็ต้องหยุดเสี้ยมเรื่องภายในพรรคประชาธิปัตย์ เพราะการเลือกคนของพรรคจะไม่มีความขัดแย้งแน่นอน ขอให้พรรคเพื่อไทยไปหาตัวบุคคลให้ได้ก่อน รวมทั้งการนโยบายดีๆ ให้คนกรุงเทพฯ ดีกว่า” นายชนินท์กล่าว