ASTVผู้จัดการรายวัน - วงการก่อสร้างซัด กทม.จงใจเอื้อบีทีเอสซีกินรวบ 30 ปีเดินรถไฟฟ้า ชี้รอใกล้หมดสัญญาได้เปรียบกว่าเห็นๆ ด้าน กทม.เตรียมเปิดโต๊ะแถลงข้อเท็จจริงวันนี้
แหล่งข่าวจากวงการก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ กล่าวถึงกรณีที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) เซ็นสัญญาว่าจ้างบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ บีทีเอสซี เดินรถไฟฟ้าเป็นเวลา 30 ปี ว่า ถือเป็นการผูกขาดเดินรถไฟฟ้าล่วงหน้ารวดเดียว 30 ปี ด้วยวงเงินเกือบสองแสนล้านบาทอาจกลายเป็นการทำร้ายกทม.กับพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ในฐานะพรรคต้นสังกัดของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม.ที่อาจจะส่งผลต่อการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ในต้นปีหน้าด้วย เนื่องจากการดำเนินการครั้งนี้ส่อเจตนาไปทางเอื้อให้บีทีเอสซีได้รับผลประโยชน์อย่างเต็มที่ ในขณะที่เหตุผลชี้แจงโดยเฉพาะเรื่องสาเหตุที่ต้องรีบลงนามในสัญญาว่าจ้างก่อนที่สัญญาสัมปทานเดิมจะหมดหลายปีนั้นฟังไม่ขึ้น ทั้งยังทำให้กทม.เสียประโยชน์อีก
“กทม.ต้องตอบให้ได้ว่าการเซ็นต์สัญญากับบีทีเอสซีระยะยาวรวดเดียว 30 ปี วงเงินสูงถึง1.9 แสนล้านครั้งนี้นั้น กทม.ได้ราคาที่ถูกจริงหรือไม่ และที่สำคัญทำไมต้องรีบเซ็นต์ก่อนหมดอายุสัมปทานถึง 17 ปี ถ้าเซ็นต์ที่หลังมันจะแพงมากหรือยังไง เพราะแทบไม่เคยเห็นการเซ็นต์จ้างล่วงหน้าก่อนหมดสัญญาสัมปทานนานขนาดนี้”
ทั้งนี้ หากรอให้ถึงช่วงใกล้หมดอายุสัมปทานแล้วค่อยเจรจาว่าจ้างบีทีเอสซีมาเดินรถจะทำให้กทม.มีอำนาจต่อรองสูงกว่า ประการแรกในช่วงนั้นจะมีโครงข่ายรถไฟฟ้ามากกว่าในปัจจุบันมากอย่างเช่น ภายใน 4-5 ปีนี้จะมีโครงข่ายรถไฟฟ้าของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้าเส้นทางแบริ่ง-สมุทรปราการ เส้นทางบางซื่อ-บางใหญ่ เส้นทางบางซื่อ-ท่าพระ เส้นทางหัวลำโพง-ท่าพระ หรืออย่างเส้นทางสายสีเขียวของกทม.ตามแผนคือเส้นทางหมอชิต-สะพานใหม่ เป็นต้น เมื่อรวมแล้วใน 17 ปีข้างหน้าที่เป็นระยะสัมปทานของบีทีเอสซีหมด ประเทศไทยจะมีโครงข่ายรถไฟฟ้ามากกว่าในปัจจุบันมาก จึงส่งผลให้กทม.ย่อมมีอำนาจต่อรองสูงกว่า เพราะมีโครงข่ายที่จะมาสนับสนุนโครงข่ายของบีทีเอสซีโดยเฉพาะปริมาณผู้โดยสารที่จะสูงขึ้นมาก ขณะที่บีทีเอสซีไม่ได้ใช้งบลงทุนสักบาทเดียวเป็นของรัฐบาลและกทม.หมด ทั้งยังจะหมดสัญญาสัมปทานไม่มีงานทำแล้วด้วย
สำหรับเหตุผลที่กทม.ชี้แจงในประเด็นเรื่องที่บอกว่า หากเซ็นต์จ้างตอนนี้จะเป็นการประกันว่าบีทีเอสซีจะต้องมีการเพิ่มจำนวนรถไฟฟ้าในอนาคตและจะต้องรักษาสภาพรถให้อยู่ในสภาพดีตลอดอายุว่าจ้าง30ปีนับจากนี้ หากเซ็นต์ตอนหมดอายุสัมปทานอีก17ปี รถไฟฟ้าก็จะอยู่ในสภาพไม่ดีนั้น เท่าที่ทราบการลงนามสัญญาสัมปทานที่ผ่านมานั้นเป็นระบบ บีโอที (Build-Operate-Transfer) บีทีเอสซีมีหน้าที่ต้องเพิ่มจำนวนรถตามปริมาณผู้โดยสาร และถึงเวลาหมดอายุสัญญาสัมปทานก็จะต้องส่งมอบตัวรถไฟฟ้าที่อยู่ในสภาพใช้งานได้อยู่แล้ว จึงไม่จริงตามที่อ้างว่าจะเป็นต้องเซ็นต์ว่าจ้างช่วงนี้
“ที่ผ่านมาตอนกทม.เซ็นต์ว่าจ้างบีทีเอสซีมาเป็นผู้เดินรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายเส้นทางตากสิน-วงเวียนใหญ่ กับอ่อนนุช-แบริ่ง นั้นบีทีเอสซีก็ได้ให้เหตุผลของภาระที่จะต้องซื้อรถไฟฟ้าเพิ่มเพื่อมาวิ่งบริการส่วนนี้ จึงบวกค่าซื้อรถไฟฟ้าอยู่ในค่าจ้างเดินรถด้วย เท่ากับเป็นการผลักภาระค่าซื้อรถให้กับกทม.ไปด้วย” แหล่งข่าวแฉ
นอกจากนี้ในประเด็นที่กทม.บอกว่า ปัจจัยหนึ่งของการลงนามในสัญญาครั้งนี้ก็เพื่อป้องกันการที่รัฐบาลกลางจะมาฮุบกิจการรถไฟฟ้าบีทีเอสในอนาคตนั้นก็ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน เพราะการที่รัฐบาลจะมาฮุบกิจการในช่วงนี้นั้นก็ต้องเจรจาเรื่องราคาหุ้นของบีทีเอสซี ซึ่งหากรัฐบาลให้ผลประโยชน์ไม่ตรงกับความพอใจของบีทีเอสซี บีทีเอสซีเขาก็ย่อมไม่ขายกิจการให้รัฐ รัฐบาลจะไปบังคับภาคเอกชนได้อย่างไร
"ดูจากลักษณะการกระทำของกทม.แล้ว ค่อนข้างเชื่อได้ว่ามีเจตนาเอื้อประโยชน์ต่อบีทีเอสซี อย่างเรื่องการออกข้อบัญญัติให้บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด (เคที) บริษัทวิสาหกิจของ กทม.มีอำนาจลงนามว่าจ้างบริษัทเอกชนมาดำเนินกิจการแทนกทม.ได้ และยิ่งบอกว่าเตรียมการมาแล้วถึง2ปี ก็ยิ่งพลอยชี้ให้เห็นว่า การณ์นี้ทำเพื่อให้เคทีเซ็นต์ว่าจ้างบีทีเอสซีในครั้งนี้โดยไม่รอให้มีการเปิดประมูลแข่งขันในอนาคต กทม.มีเคทีซึ่งต้องจ่ายค่าจ้างให้เคทีถึง1.8พันล้านบาท ลองคิดดูหากเคทีฮั้วกับบีทีเอสซีขึ้นมา กทม.จะสามารถตรวจสอบได้อย่างไร และเมื่อมีกำไรถึง 3 แสนล้านบาท บีทีเอสซีรับไปคนเดียวเกือบ 2 แสนล้านบาท”
รายงานข่าวจาก กทม.แจ้งด้วยว่า ในวันนี้ (14 พ.ค.) กทม.จะแถลงข้อเท็จจริงกรณี BTS เพื่อไม่ให้เป็นประเด็นทางการเมืองหวั่นซ้ำรอยกล้องซีซีทีวีโดยได้ให้สำนักงานกฎหมายและคดี กทม.ชี้แจ้งในข้อกฎมาย การตีความของกฤษฎีกา ให้เคทีชี้จ้างการจัดซื้อจัดจ้าง และให้สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยชี้แจงในรายละเอียดประเด็นราคาเนื่องจากเคทีได้ว่าจ้างศศินทร์มาเป็นที่ปรึกษาในเรื่องดังกล่าว.
แหล่งข่าวจากวงการก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ กล่าวถึงกรณีที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) เซ็นสัญญาว่าจ้างบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ บีทีเอสซี เดินรถไฟฟ้าเป็นเวลา 30 ปี ว่า ถือเป็นการผูกขาดเดินรถไฟฟ้าล่วงหน้ารวดเดียว 30 ปี ด้วยวงเงินเกือบสองแสนล้านบาทอาจกลายเป็นการทำร้ายกทม.กับพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ในฐานะพรรคต้นสังกัดของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม.ที่อาจจะส่งผลต่อการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ในต้นปีหน้าด้วย เนื่องจากการดำเนินการครั้งนี้ส่อเจตนาไปทางเอื้อให้บีทีเอสซีได้รับผลประโยชน์อย่างเต็มที่ ในขณะที่เหตุผลชี้แจงโดยเฉพาะเรื่องสาเหตุที่ต้องรีบลงนามในสัญญาว่าจ้างก่อนที่สัญญาสัมปทานเดิมจะหมดหลายปีนั้นฟังไม่ขึ้น ทั้งยังทำให้กทม.เสียประโยชน์อีก
“กทม.ต้องตอบให้ได้ว่าการเซ็นต์สัญญากับบีทีเอสซีระยะยาวรวดเดียว 30 ปี วงเงินสูงถึง1.9 แสนล้านครั้งนี้นั้น กทม.ได้ราคาที่ถูกจริงหรือไม่ และที่สำคัญทำไมต้องรีบเซ็นต์ก่อนหมดอายุสัมปทานถึง 17 ปี ถ้าเซ็นต์ที่หลังมันจะแพงมากหรือยังไง เพราะแทบไม่เคยเห็นการเซ็นต์จ้างล่วงหน้าก่อนหมดสัญญาสัมปทานนานขนาดนี้”
ทั้งนี้ หากรอให้ถึงช่วงใกล้หมดอายุสัมปทานแล้วค่อยเจรจาว่าจ้างบีทีเอสซีมาเดินรถจะทำให้กทม.มีอำนาจต่อรองสูงกว่า ประการแรกในช่วงนั้นจะมีโครงข่ายรถไฟฟ้ามากกว่าในปัจจุบันมากอย่างเช่น ภายใน 4-5 ปีนี้จะมีโครงข่ายรถไฟฟ้าของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้าเส้นทางแบริ่ง-สมุทรปราการ เส้นทางบางซื่อ-บางใหญ่ เส้นทางบางซื่อ-ท่าพระ เส้นทางหัวลำโพง-ท่าพระ หรืออย่างเส้นทางสายสีเขียวของกทม.ตามแผนคือเส้นทางหมอชิต-สะพานใหม่ เป็นต้น เมื่อรวมแล้วใน 17 ปีข้างหน้าที่เป็นระยะสัมปทานของบีทีเอสซีหมด ประเทศไทยจะมีโครงข่ายรถไฟฟ้ามากกว่าในปัจจุบันมาก จึงส่งผลให้กทม.ย่อมมีอำนาจต่อรองสูงกว่า เพราะมีโครงข่ายที่จะมาสนับสนุนโครงข่ายของบีทีเอสซีโดยเฉพาะปริมาณผู้โดยสารที่จะสูงขึ้นมาก ขณะที่บีทีเอสซีไม่ได้ใช้งบลงทุนสักบาทเดียวเป็นของรัฐบาลและกทม.หมด ทั้งยังจะหมดสัญญาสัมปทานไม่มีงานทำแล้วด้วย
สำหรับเหตุผลที่กทม.ชี้แจงในประเด็นเรื่องที่บอกว่า หากเซ็นต์จ้างตอนนี้จะเป็นการประกันว่าบีทีเอสซีจะต้องมีการเพิ่มจำนวนรถไฟฟ้าในอนาคตและจะต้องรักษาสภาพรถให้อยู่ในสภาพดีตลอดอายุว่าจ้าง30ปีนับจากนี้ หากเซ็นต์ตอนหมดอายุสัมปทานอีก17ปี รถไฟฟ้าก็จะอยู่ในสภาพไม่ดีนั้น เท่าที่ทราบการลงนามสัญญาสัมปทานที่ผ่านมานั้นเป็นระบบ บีโอที (Build-Operate-Transfer) บีทีเอสซีมีหน้าที่ต้องเพิ่มจำนวนรถตามปริมาณผู้โดยสาร และถึงเวลาหมดอายุสัญญาสัมปทานก็จะต้องส่งมอบตัวรถไฟฟ้าที่อยู่ในสภาพใช้งานได้อยู่แล้ว จึงไม่จริงตามที่อ้างว่าจะเป็นต้องเซ็นต์ว่าจ้างช่วงนี้
“ที่ผ่านมาตอนกทม.เซ็นต์ว่าจ้างบีทีเอสซีมาเป็นผู้เดินรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายเส้นทางตากสิน-วงเวียนใหญ่ กับอ่อนนุช-แบริ่ง นั้นบีทีเอสซีก็ได้ให้เหตุผลของภาระที่จะต้องซื้อรถไฟฟ้าเพิ่มเพื่อมาวิ่งบริการส่วนนี้ จึงบวกค่าซื้อรถไฟฟ้าอยู่ในค่าจ้างเดินรถด้วย เท่ากับเป็นการผลักภาระค่าซื้อรถให้กับกทม.ไปด้วย” แหล่งข่าวแฉ
นอกจากนี้ในประเด็นที่กทม.บอกว่า ปัจจัยหนึ่งของการลงนามในสัญญาครั้งนี้ก็เพื่อป้องกันการที่รัฐบาลกลางจะมาฮุบกิจการรถไฟฟ้าบีทีเอสในอนาคตนั้นก็ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน เพราะการที่รัฐบาลจะมาฮุบกิจการในช่วงนี้นั้นก็ต้องเจรจาเรื่องราคาหุ้นของบีทีเอสซี ซึ่งหากรัฐบาลให้ผลประโยชน์ไม่ตรงกับความพอใจของบีทีเอสซี บีทีเอสซีเขาก็ย่อมไม่ขายกิจการให้รัฐ รัฐบาลจะไปบังคับภาคเอกชนได้อย่างไร
"ดูจากลักษณะการกระทำของกทม.แล้ว ค่อนข้างเชื่อได้ว่ามีเจตนาเอื้อประโยชน์ต่อบีทีเอสซี อย่างเรื่องการออกข้อบัญญัติให้บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด (เคที) บริษัทวิสาหกิจของ กทม.มีอำนาจลงนามว่าจ้างบริษัทเอกชนมาดำเนินกิจการแทนกทม.ได้ และยิ่งบอกว่าเตรียมการมาแล้วถึง2ปี ก็ยิ่งพลอยชี้ให้เห็นว่า การณ์นี้ทำเพื่อให้เคทีเซ็นต์ว่าจ้างบีทีเอสซีในครั้งนี้โดยไม่รอให้มีการเปิดประมูลแข่งขันในอนาคต กทม.มีเคทีซึ่งต้องจ่ายค่าจ้างให้เคทีถึง1.8พันล้านบาท ลองคิดดูหากเคทีฮั้วกับบีทีเอสซีขึ้นมา กทม.จะสามารถตรวจสอบได้อย่างไร และเมื่อมีกำไรถึง 3 แสนล้านบาท บีทีเอสซีรับไปคนเดียวเกือบ 2 แสนล้านบาท”
รายงานข่าวจาก กทม.แจ้งด้วยว่า ในวันนี้ (14 พ.ค.) กทม.จะแถลงข้อเท็จจริงกรณี BTS เพื่อไม่ให้เป็นประเด็นทางการเมืองหวั่นซ้ำรอยกล้องซีซีทีวีโดยได้ให้สำนักงานกฎหมายและคดี กทม.ชี้แจ้งในข้อกฎมาย การตีความของกฤษฎีกา ให้เคทีชี้จ้างการจัดซื้อจัดจ้าง และให้สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยชี้แจงในรายละเอียดประเด็นราคาเนื่องจากเคทีได้ว่าจ้างศศินทร์มาเป็นที่ปรึกษาในเรื่องดังกล่าว.