ผ่าประเด็นร้อน
มีหลายคนบอกว่า หากจะทำลาย ทักษิณ ชินวัตร ให้ย่อยยับ ก็ไม่ต้องไปทำอะไรมาก อยู่เฉยๆ ปล่อยให้มันเป็นไป แล้วความจริงทุกอย่างก็จะปรากฏออกมาให้เห็นเอง เหมือนกับที่เวลานี้คนเสื้อแดงไม่น้อยที่เริ่ม “ตาสว่าง” ได้เห็นธาตุแท้ ได้เห็นความโลภ ความเห็นแก่ตัวของเขามากขึ้นเรื่อยๆ
ที่ผ่านมาหากย้อนกลับไปทบทวนก็จะเห็นว่าพลังของทักษิณ ที่เพิ่มพูนขึ้นมาก็เป็นเพราะอาศัย “คราบประชาธิปไตย” มาหลอกต้มชาวบ้าน หยิบยกเอาการรัฐประหาร “หน่อมแน้ม” ของพวก คมช.ประดิษฐ์ถ้อยคำเรื่อง “ไพร่-อำมาตย์” ขึ้นมาเพื่อปลุกระดมคนยากคนจนทั้งประเทศชี้ให้เห็นว่าที่จนอยู่ทุกวันนี้เป็นเพราะมีความเหลื่อมล้ำและพวกอำมาตย์เอาเปรียบกดขี่ มิหนำซ้ำยังยุแยงอีกว่าเป็นเพราะอำมาตย์พวกนี้แหละที่รังแกทักษิณ เพียงเพราะกำลังจะปลดแอกคนจน สารพัดที่จะเสกสรรปั้นแต่งขึ้นมาปลุกเร้า แม้ว่าเนื้อในมันมีความจริงเจอปนอยู่ด้วย ซึ่งไม่มีทางปฏิเสธได้
แต่คนที่มาปลุกระดมนั้นเมื่อพิจารณาจากเบื้องหลังแล้วมันสะอิดสะเอียนยิ่งกว่า เพราะขนาดยกย่องให้ทักษิณเป็นนักประชาธิปไตย นักต่อสู้ก็แทบอ้วกกันแล้ว เพราะประวัติคนคนนี้ไม่เคยมีชื่อในสารบบนักเคลื่อนไหว นักต่อสู้ ไม่เคยเสียสละอะไรแก่สังคมเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม มีแต่ข่าวเรื่องหากินอยู่กับเผด็จการทหาร วิ่งเต้นทำธุรกิจสัมปทานผูกขาด ทั้งปีทั้งชาติมีแต่ข่าวอื้อฉาวถูกกล่าวในเรื่องทุจริตคิดโกง เช่น โกงภาษี ซุกหุ้น เชื่อมโยงไปถึงคนในครอบครัวอยู่ตลอดเวลา ไม่เว้นแม้กระทั่งลูกชายลูกสาวก็มีข่าวเรื่องโกงข้อสอบ ทุจริตการสอบ คนแบบนี้หรือที่สมควรยกย่องเชิดชู
คนแบบนี้หรือเป็นหัวหน้าไพร่ ในความหมายที่ถูกเอาเปรียบ ถูกกดขี่ ตรงกันข้ามน่าจะกลายเป็นฝ่ายทำลายหาประโยชน์จากคนอื่นมากกว่า
ปรากฏการณ์ดังกล่าวย่อมมีให้เห็นอยู่ทนโท่ มีคนไม่น้อยที่รู้ทัน เพียงแต่ว่าไม่สามารถสู้กระแสการโฆษณาชวนเชื่อของคนพวกนี้ได้ เพราะสามารถชื้อสื่อ ซื้อ “หัวโจก” ที่เป็นนักปราศรัย นักเลงหัวไม้ ซื้อนักวิชาการ นักกฎหมาย นักเคลื่อนไหวฝ่ายซ้ายที่เชี่ยวชาญด้านมวลชนเข้าไปเป็นพวกมากมาย
ประกอบกับฝ่ายคณะรัฐประหารที่ผ่านมาก็ไม่เอาไหน มีการแสดงธาตุแท้ให้เห็นเช่นเดียวกันว่า ทำทุกอย่างเพื่อรักษาอำนาจและผลประโยชน์ของตัวเองเท่านั้น และที่สำคัญสาเหตุการณ์ก่อรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549 ที่นำโดย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลินก็เพียงเพื่อป้องกันถูกปลดพ้นเก้าอี้ผู้บัญชาการทหารบกเท่านั้น และต่อมาคนๆนี้ก็กลับมาสวามิภักดิ์กับทักษิณในที่สุด ยอมเป็นเครื่องมือสำหรับภารกิจปรองดองที่มีเป้าหมายเพื่อล้างผิดให้กับ ทักษิณ
พฤติกรรมอำพราง และความ “หน่อมแน้ม” ของฝ่ายคณะรัฐประหารรวมไปถึงรัฐบาลประชาธิปัตย์ ที่นำโดย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ใช้ต้นทุนของบ้านเมืองจนสูญเปล่าดังกล่าวทำให้ พลังทักษิณเตบใหญ่ขึ้นมา และนำไปสู่การยึดอำนาจรัฐ คุมกลไกอำนาจหลักอยู่ในมือ ดังเช่นวันนี้
อย่างไรก็ดี ด้วยนิสัยเฉพาะตัวของทักษิณเองที่เป็นคนกร่าง ขี้โม้ มั่นใจในตัวเองสูง เชื่อว่าตัวเองมีบารมีสูง สามารถสั่งซ้ายหันขวาหันมวลชนคนเสื้อแดงได้ตลอดเวลา แต่ลืมไปว่าคนมันมี กิเลศ มีความอยาก ชิงดีชิงเด่นตลอดเวลา และที่สำคัญชาวบ้านต้องกินต้องใช้ ต้องมีค่าใช้จ่าย แต่เมื่อได้อำนาจรัฐมาแล้วก็ต้องบริหารให้เป็น เพราะทุกอย่างมันฟ้องอยู่ตำตา แรกๆ อาจจะยังโทษอำมาตย์กล่าวหาคนอื่นได้ แต่พอนานไปมันก็คอพอตัวเองทุกเรื่อง เหมือนอย่างที่ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กำลังประสบอยู่ นั่นคือล้มเหลวไม่เป็นท่า
ไม่เชื่อก็ลองถามตัวเองดูก็ได้ว่าเวลานี้ ชีวิตความเป็นอยู่ในยุคปู กับยุคมาร์ค มันแตกต่างกันตรงไหน มิหนำซ้ำเดือดร้อนกว่าหนักข้อขึ้นไปอีก
เมื่อมาถึงปัจจุบันที่ ทักษิณ ในฐานะนักธุรกิจข้ามชาติ ที่คิดแต่กำไรสูงสุด ลักษณะที่แสดงออกทำให้เข้าใจว่าเขาอยู่ที่ไหนก็ได้ในโลกนี้ หากสถานที่นั้นสามารถลงทุนแล้วได้กำไรมากที่สุด โดยไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงเรื่องชาติ ผลประโยชน์ของชาติ เหมือนกับเวลานี้ที่เขากำลังเดินหน้าปรองดองกับ อำมาตย์ เพราะดีดลูกคิดแล้วคุ้มค่ากว่า นี่จึงเป็นสาเหตุของคำพูดให้ทุกคน “ลืมอดีต” แล้วมองไปข้างหน้า แบบเลิกแล้วต่อกัน ซึ่งแน่นอนว่าคนที่ได้กำไรก็มีอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น
อย่างไรก็ดี ด้วยลักษณะนิสัยสันดานเดิมที่แสดงออกมา มันก็เผยให้เห็นธาตุแท้ว่าทำทุกอย่างเพื่อเป้าหมายกำไรสูงสุดของตัวเอง เมื่อกำลังได้สิ่งที่ต้องการก็ถึงเวลาสลัดทิ้งสิ่งที่เป็นภาระออกไปอย่างไม่ใยดี เพราะต้องไม่ลืมว่าเวลานี้เขามีอำนาจรัฐ มีทุกอย่างอยู่ในมือ และถึงเวลาที่จะต้องสลัดทิ้งมวลชนแดงบางส่วนออกไป โดยหวังว่าจะเหลือส่วนใหญ่เอาไว้ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องไม่ลืมว่าแรงกระเพื่อมมันอาจไปไกลกว่าที่คาดคิด เพราะมีคนอีกไม่น้อยที่กำลังเคลิบเคลิ้มได้อารมณ์กับเรื่องความเหลื่อมล้ำ กำจัดอำมาตย์ แต่จู่ๆมาบอกให้ลืมแล้วปรองดอง เป็นใครมันก็ต้องช็อก ทำใจไม่ได้ ประกอบกับเมื่อได้สติแล้วหันไปมองรอบตัวก็พบความจริงว่ายังลำบากแสนสาหัสยิ่งกว่าเดิม
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น อารมณ์แบบนี้ก็ระวังว่าจะเกิดสองแรงบวก ย้อนกลับมาเล่นงาน เหมือนกับ รักมากก็ผิดหวังมาก และยิ่งเกลียดมาก อีกทั้งต้องไม่ลืมความจริงที่ว่าความเสื่อมย่อมมาจากภายในด้วยกันเอง เหมือนสนิมที่เกิดจากเนื้อในนั่นแหละ ซึ่งกำลังเกิดขึ้นกับ “ทักษิณ” เวลานี้!!