ผ่าประเด็นร้อน
คำพูดของ ทักษิณ ชินวัตร เมื่อคืนวันที่ 19 พฤษภาคม ในวันครบรอบรำลึก 2 ปี การสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงที่ผ่านมาถือว่าเป็นจุด “เปราะบาง” สำคัญระหว่าง ตัวเขาและมวลชนที่ออกมาเคลื่อนไหว ออกมาตาย-เจ็บเพื่อเขา ว่าในที่สุดแล้วคนพวกนี้จะเลือกตัดสินใจแบบไหน จะหยุดอยู่เฉยๆ เงียบๆ หุบปาก เพื่อให้ภารกิจการปรองดองประสบความสำเร็จ
เสมือนกับมาถึงทางแยกที่ต้องตัดสินใจว่าจะเลือกเดินไปทางไหน ต้องรีบตัดสินใจ!!
คำพูดของทักษิณที่กล่าวขอบคุณคนเสื้อแดงที่เปรียบเหมือน “คนแจวเรือมาส่งขึ้นฝั่ง แต่จากนี้ไปเขาจะนั่งรถขึ้นเขา” และขอให้พี่น้องเสียสละ ลืมเรื่องเก่าๆ เพื่อเดินไปข้างหน้าเพื่ออนาคตของลูกหลานเรา หรือหากพี่น้องไม่ยอมปรองดอง ให้อยู่เมืองนอกต่อไปก็ยอม พูดสารพัด แต่ความหมายโดยรวมก็คือ ให้พี่น้องเสื้อแดงหยุดนิ่ง อยู่เฉยๆ เลิกแล้วต่อกัน
เชื่อว่าหลายคนที่เป็นเสื้อแดงร่วมต่อสู้ ลำบากร่วมกันมาก็ต้องเข้าใจอารมณ์ได้เป็นอย่างดีว่ายังต้องการทวงถามความยุติธรรม ต้องการค้นหาความจริง อยากรู้ว่าใครคือฆาตกรแล้วนำมาลงโทษ และเชื่อตามที่บรรดาหัวโจกได้ปลุกระดมมาอย่างต่อเนื่อง กว่าสองปีหมายหัวกันมาตั้งนานแล้วว่าใครคือฆาตกร แต่มาวันนี้ทักษิณกลับพูดซ้ำๆ ว่าให้ “เลิกแล้วต่อกัน” เพราะดันทุรังไปก็ไม่มีประโยชน์ ซึ่งก็ไม่ต่างจากท่าทีก่อนหน้านี้ที่ไม่อยากรู้แล้วว่า “ใครอยู่เบื้องหลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549” หลังจากมีการสนับสนุนให้ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เป็นประธานคณะกรรมาธิการศึกษาเรื่องการปรองดอง และจากนั้นไม่นาน นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ได้เข้าหารือลับกับ “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่บ้านสี่เสาฯ ในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา
จากนั้นวาทกรรมของทักษิณและคนใกล้ชิด ก็ปรับเปลี่ยนกลับตาลปัตรหันมาเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ อย่างผิดสังเกต แม้กระทั่งคำพูดเมื่อคืนวันที่ 19 พฤษภาคมที่ผ่านมาก็ยังเรียกร้องให้พี่น้องคนเสื้อแดงเทิดทูนและรักษาสถาบันฯ เอาไว้
หลายคนประเมินว่า สาเหตุที่ทักษิณต้องพูดกับคนเสื้อแดงแบบสื่อสารโดยตรงให้ได้ยินกันไปทั่ว เน้นในเรื่องให้ “ลืมอดีต-เลิกแล้วต่อกัน” แล้วเดินหน้าปรองดอง นั้น เป็นเพราะเวลานี้ตนเองได้ยึดอำนาจรัฐเอาไว้อยู่ในมืออย่างเบ็ดเสร็จแล้ว อย่างน้อยที่เห็นก็มีรัฐบาลเป็นของตัวเอง มีเสียงข้างมากในสภา ซึ่งรวมถึงวุฒิสภาด้วย แต่มีปัญหาเพียงแค่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั้นทำผลงานไม่เข้าตา ล้มเหลวในทุกเรื่อง สิ่งที่เกิดขึ้นในเรื่อง “ข้าวของแพง” นี่แหละกำลังฉุดความศรัทธาให้ดิ่งเหวลงไปเรื่อยๆ บรรยากาศเริ่มพลิกกลับไปเป็นตรงกันข้าม เมื่อเปรียบเทียบกันในช่วงได้รับชัยชนะเลือกตั้งมาใหม่ๆ
ด้วยบรรยากาศดังกล่าวนี่แหละที่ทำให้ ทักษิณ ต้องรีบออกมาเรียกร้องให้คนเสื้อแดง “อยู่เฉยๆ อย่าไปคิดอะไรมาก” ให้เลิกแล้วต่อกัน ที่สำคัญอย่าออกมาป่วนเหมือนเก่า เพราะจะกระทบกับรัฐบาลของน้องสาวตัวเอง เนื่องจากเวลานี้ภารกิจใหญ่คือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ กำลังดำเนินการคืบหน้าไปด้วยดี จากนั้นก็จะมีลุ้นเรื่องการเสนอร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ซึ่งทั้งสองเรื่องหลังล้วนแล้วแต่เป็นผลประโยชน์กับเขาโดยตรง ดังนั้นความหมายก็คือ ถ้ารักเขา อยากให้กลับประเทศอย่างเท่ ก็ต้องเชื่อเขา อย่าป่วนอีก อะไรประมาณนั้น
คำพูดและท่าทีดังกล่าวสำหรับ ทักษิณ ที่มีบรรดากุนซือแวดล้อมรอบตัวมากมาย ย่อมรู้ดีว่าเมื่อพูดออกไปแล้วย่อมเกิดผลกระทบตามมา แต่ในสถานการณ์ที่คนอย่างเขาก็ต้องเลือกเหมือนกัน เพราะเวลาไล่หลังเข้ามามีจำกัด เมื่อมีจังหวะก็ต้องชิงตัดเกม สลัดทิ้งพวก “เห็บหมัด” ที่ฉวยโอกาสเข้ามาเกาะหลังนานแล้ว ถึงเวลาก็ต้องเอาออกไปเสียก่อน เนื่องจากเขารู้ดีว่าที่ผ่านมามีพวก “แดงบางกลุ่ม” เข้ามาหาประโยชน์จากกระแสมวลชน และอย่าได้แปลกใจที่เมื่อได้เห็นท่าทีที่เน้นย้ำเรื่องปรองดอง โดยไม่สนใจการค้นหาความจริง ไม่จริงจังกับการทวงถามความยุติธรรมให้กับผู้สูญเสีย โดยเฉพาะไม่พูดถึง “ไพร่-อำมาตย์” อีกต่อไป มันก็มีเสียงก่นด่า จากนักวิชาการแดงบางคนสะท้อนกลับมาอย่างเกรี้ยวกราดทันที
ขณะเดียวกัน สำหรับ “ทักษิณ” นาทีนี้ก็คงต้องการพิสูจน์ความศรัทธาว่า มีมวลชนที่แท้จริง และพร้อมเดินตามเขาในทุกเรื่องว่ามีจำนวนมากน้อยแค่ไหน ซึ่งแน่นอนว่าหลังจากนี้ก็จะส่วนหนึ่งแยกตัวออกไป และหันกลับมาโจมตี แต่ก็ขึ้นอยู่กับกระแสและปัจจัยรอบด้านด้วยว่าจะมีน้ำหนักแค่ไหน แต่สิ่งที่ยังเป็นปัจจัยชี้ขาดและทำให้กระแสทักษิณต้องฝ่อลงไปอย่างรวดเร็วยังขึ้นอยู่กับผลงานของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นหลัก อีกทั้งเนื้อหาสาระของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมที่กำลังจะเสนอเข้าสภาอีกไม่นาน ถ้าชาวบ้านมองออกว่าเอื้อประโยชน์ให้ทักษิณ ถึงตอนนั้นแหละเขาก็จะได้เห็น “นรกถาวร”
ทุกฝ่ายจะหันมารุมบาทายำจนเละ และคำพูดที่ว่า “อาจได้เห็นการโฟนอินหรือวิดีโอลิงก์ครั้งสุดท้าย” ก็มีความเป็นไปได้สูงทีเดียว เพราะสิ่งที่เขากำลังเล่นอยู่ในมือนั้นถือว่าเป็น “ของร้อน” และย่ามใจว่าควบคุมได้อยู่ตลอดเวลา แต่บางครั้งอารมณ์คน อารมณ์มวลชนเมื่อรักมาก ศรัทธามาก ในทางตรงกันข้าม หากเกิดความผิดหวังซ้ำซาก รับรู้ถึงความเห็นแก่ตัว ถูกหลอกใช้ทุกอย่างก็ขาดผึง กลายเป็นตรงกันข้าม กลายเป็นเกลียดเข้ากระดูกดำ ขณะที่ศัตรูเก่าก็ยังมีอย่างถาวรและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่นี่ดันหน้ามืดคิดเอาตัวรอดสลัดทิ้งพวกที่แบกหามกันมากลางทางเสียอีก ลองนึกดูก็แล้วกันว่าจะมีชะตากรรมเช่นไร!!