ผ่าประเด็นร้อน
อาจเป็นเพราะพวกนักการเมืองคิดว่าชาวบ้านมันโง่หรือคิดตามไม่เป็นหรือไง ถึงได้สรุปทึกทักกันมั่วๆว่า การปรองดองก็คือทำให้ทุกอย่างจบๆเจ๊าๆกันไป ให้อภัยกันแล้วมาเริ่มต้นกันใหม่ โดยอ้างว่าประเทศเสียเวลามามากแล้วต้องเดินหน้ากันเสียที
หรือไม่ก็อ้างว่าที่ผ่านมาเราเสียเวลากันมากแล้ว ทำให้ประเทศอื่นเขาล้ำหน้าไปไกล ดังนั้นก็ต้องหยุดทะเลาะกันแล้วหันมาร่วมมือกันจับมือเดินไปข้างหน้า ฯลฯ สารพัดคำพูดที่กำลังพ่นผ่านน้ำลายสกปรกออกมา
แต่ที่น่าสมเพช เวทนาที่สุดในยามนี้ก็เห็นจะไม่มีใครเกิน พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ที่เคยเป็นถึงหัวหน้าคณะรัฐประหาร เมื่อ 19 กันยายน 2549 ใช้ต้นทุนของประเทศที่สูงมากสูญเสียโดยเปล่าประโยชน์ สร้างความพินาศมาจนถึงวันนี้
ปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ล้วนต่อเนื่องมาจากวันนั้น แทนที่จะทำให้เบ็ดเสร็จสะเด็ดน้ำ มีความกล้าหาญเสียสละเพื่อชาติ รื้อโครงสร้างจะไปทางไหนก็เอาให้เด็ดขาด แต่โน่นก็ไม่เอา นี่ก็ไม่เอา ครึ่งๆกลางๆ มันก็ช่วยไม่ได้ที่ทำให้คนอื่นเขาดูถูกเหยียดหยามว่าสาเหตุของการรัฐประหารก็เพียงแค่ตัวเองกลัวถูก ทักษิณ ชินวัตร ปลดพ้นเก้าอี้ผู้บัญชาการทหารบก จึงต้องชิงลงมือก่อน เรื่องก็มีอยู่เท่านี้ และมันก็น่าจะจริงเสียด้วย
มาวันนี้ยังไปเห็นคล้อยตามกับผลวิจัย “บ้าบอคอแตก”ที่จะให้ออกพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมคดีที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมืองทั้งหมด รวมทั้งให้เพิกถอนผลทางกฎหมาย ที่ดำเนินการโดยคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) ไม่ว่าจะเป็นคดีที่ตัดสินไปแล้วหรือกำลังพิจารณาอยู่ก็ตาม
นับว่าเป็นเรื่องที่อัปยศอดสูสิ้นดี เพราะว่าคนที่ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) มากับมือก็คือ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ที่เป็นหัวโจกก่อรัฐประหารนั่นแหละ ในตอนนั้นก็กล่าวหารัฐบาล และตัว ทักษิณ ชินวัตร ว่าโกงอย่างนั้นโกงอย่างนี้ ไม่จงรักภักดี มีความผิดใหญ่หลวง ถ้าเป็นสมัยก่อนก็ต้อง “กุดหัวเจ็ดชั่วโคตร” แต่มาวันนี้เกิดอารมณ์เปลี่ยน เอาใหม่บอกว่าต้องให้อภัย มีความเมตตา ไม่ต้องไปพูดถึงกันแล้ว ใครดีใครเลว ก็ไม่เป็นไร จบๆกันไป แล้วมาเริ่มต้นกันใหม่
เวลานี้ พล.อ.สนธิ ที่กลายเป็น “ทหารแก่” ในคราบ ส.ส.หัวเดียวโด่เด่ กำลังสนุกอยู่กับ “หัวโขน” ที่มีคนใช้เป็นเครื่องมือมอบตำแหน่งประธานคณะกรรมมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ โดยไปยึดเอาผลสรุปการวิจัยของคณะบุคคลที่ใช้ชื่อสถาบันพระปกเกล้ามาหากิน และกำลังญาติดีกับฝ่ายที่ทำผิด และก่อนหน้านี้ได้ตั้งข้อหาเอาไว้ฉกาจฉกรรจ์ ทุกอย่างกำลังกลับตาลปัตร
รับรองว่า หากลองไปถามใครเรื่องการปรองดอง การให้อภัยแทบทุกคนก็น่าจะเห็นด้วย แต่ก่อนจะไปถึงตรงนั้นมันก็ต้องทำความจริงให้ปรากฎ ทำให้เกิดความชัดเจนก่อนไม่ได้หรือ ซึ่งทุกอย่างทุกเรื่องมันก็มีกระบวนการตามขั้นตอนปกติอยู่แล้ว หากบอกว่าทุกคนในประเทศนี้ต้องเสมอภาคทางกฎหมาย ไม่ว่ารวย จน หรือมีอำนาจแค่ไหนก็ต้องอยู่ภายใต้กระบวนการยุติธรรมเดียวกัน ทุกอย่างมันก็ต้องไปจบอยู่ที่ศาล ถึงตอนนั้นแม้ว่าจะมีคนไม่พอใจ แต่ก็ต้องยอมรับ หลังจากนั้นก็ต้องมาว่ากันถึงเรื่องการให้อภัย การปรองดอง ที่สังคมต้องการ ง่ายๆแค่นี้ทำไมไม่ทำ ไปคิดให้ซับซ้อน ทุเรศๆทำไม
อีกอย่าง หากพิจารณาเฉพาะกรณีของ คตส.แม้จะอ้างว่าแต่งตั้งโดยคณะเผด็จการ(พล.อ.สนธิ นั่นแหละ) ในการทำหน้าที่นั้นก็เพียงแค่ไม่ต่างจากอัยการเป็นทนายแผ่นดิน และตำรวจ ทำหน้าที่รวบรวมพยายนหลักฐานทำสำนวนส่งฟ้องศาลให้พิจารณาตัดสิน ซึ่งที่ผ่านมาก็มีหลายคดีที่ศาลยกคำร้อง
ดังนั้นถ้าพูดถึงเรื่องความปรองดอง การให้อภัย นั้น แม้แต่ผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่าง นิชา หิรัญบูรณะ ธุวธรรม ภรรยาของ พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม กลับมีความเข้าใจดีมากกว่าพวก “หัวหงอก” หัวดำพวกนั้นเสียอีก เพราะคำพูดของเธอในฐานะที่เป็นคน “สูญเสีย” มากที่สุดคนหนึ่ง กลับเข้าใจ มีความเป็นธรรมชาติ มากที่สุด ง่ายๆ ไม่ซับซ้อน ก็คือ ต้องทำความจริงให้ปรากฎโดยผ่านกระบวนการยุติธรรมโดยไม่บิดเบือนเสียก่อน จากนั้นค่อยมาว่ากันถึงเรื่องนิรโทษฯปรองดอง เพราะมันยั่งยืน ไม่สร้างความขัดแย้งเพิ่มขึ้น
คำพูดของเธอ ยังถอนหงอก พล.อ.สนธิ อยู่ในทีอย่างเจ็บแสบทำนองว่า ข้อเสนอปรองดองดังกล่าวเป็นแค่การตอบสนองพวกดิ้นรน “หนีความผิด” เท่านั้น
นอกจากนี้ยังมีข้อสังเกตของ นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ ที่น่าจะเป็นไปได้ค่อนข้างแน่อีกว่า กระบวนปรองดองโดยลบล้างความผิด ที่ว่านี่จะรวบรัดทำให้เสร็จภายในสมัยประชุมนี้ ซึ่งจะปิดลงในวันที่ 18 เมษายน นั่นก็คือจะรีบมีการออกพระราชบัญญัตินิรโทษฯออกมาทันที เพื่อให้ ส.ส.ที่เป็นหัวโจกเสื้อแดงไม่ต้องถูกดำเนินคดีขณะไม่มีเอกสิทธิ์ ส.ส.คุ้มครอง
เมื่อเห็นแววทุเรศ เอาแต่ได้ และเอาเปรียบของพวกนักการเมือง ที่คิดเองเออเอง ไม่เคยเห็นหัวชาวบ้านว่าเขาจะมีความรู้สึกอย่างไร เพราะถ้าเป็นแบบนี้ ขืนดันทุรังกันไม่เลิก แน่นอนว่านอกจากไม่มีทางปรองดองกันได้แล้ว ในทางตรงกันข้ามยังจะมีความขัดแย้งยิ่งฝังลึก ร้าวฉานกว่าเดิม ที่สำคัญจะทนไม่ได้กับนักการเมืองพันธุ์นี้แน่นอน !!